กอนช. ประเมินพื้นที่เสี่ยงท่วม-แล้ง ล่วงหน้า 6 เดือน
ย้ำต้องกำหนดจัดรอบเวรการรับน้ำเพื่อจัดสรรให้ทั่วถึงทุกพื้นที่
กอนช. ประเมินพื้นที่เสี่ยงท่วม-แล้ง ล่วงหน้า 6 เดือน พบตอนกลางของประเทศเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ขณะที่บริเวณชายขอบ เสี่ยงน้ำท่วมจากฝนตกหนัก ขอประชาชนติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเน้นย้ำต้องมีการจัดรอบเวรรับน้ำเพื่อจัดสรรน้ำให้ทั่วถึง
วันนี้ (4 ก.ค. 66) นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการประเมินสถานการณ์น้ำ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ถ.วิภาวดีรังสิต โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำท (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น เข้าร่วมการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ว่า ปัจจุบัน ภาพรวมปริมาณฝนทั้งประเทศ ต่ำกว่าค่าปกติ 25% ซึ่งที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ยังมีฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ย
โดยฝนจะตกในพื้นที่ภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันตก ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ที่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ตามประกาศแจ้งเตือน กอนช. เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา ทั้ง จ.ตรัง สตูล พัทลุง จันทบุรี และตราดกอนช. ได้บูรณาการความร่วมมือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือ โดยสถานการณ์ในทุกพื้นที่คลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว สำหรับสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำ รวม 40,808 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 50% ของความจุรวมทั้งหมด ในปริมาณนี้เป็นน้ำใช้การ 16,698 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 29% ซึ่งปัจจุบันมีการใช้น้ำนับจากช่วงต้นฤดูฝนไปแล้วประมาณ 10% โดยภาคกลางเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำต้นทุนน้อยที่สุดในขณะนี้
สำหรับการจัดสรรน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ให้แก่พื้นที่ต่าง ๆ มีการจัดสรรแล้ว รวม 6,604 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 42% ของแผนทั้งหมด โดยภาคที่มีการจัดสรรน้ำมากที่สุด ได้แก่ ภาคเหนือ โดยจัดสรรไปแล้ว 54% ของแผน ทั้งนี้ กอนช. ได้จำลองปริมาณน้ำจาก ปี 62 เพื่อใช้คาดการณ์ปริมาณน้ำใช้การของอ่างฯ ขนาดใหญ่ ณ วันที่ 1 พ.ย. 66 พบว่า จะมีปริมาณน้ำใช้การ 26,071 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 55% ซึ่งน้อยกว่าเมื่อปีที่แล้ว และคาดว่า ณ วันที่ 1 พ.ย. 66 จะมีอ่างฯ ขนาดใหญ่ จำนวน 21 แห่ง ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงน้ำน้อย ได้แก่ ภาคเหนือ 7 แห่ง ภาคตะวันออก 6 แห่ง ภาคตะวันตก 4 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง และภาคกลาง 2 แห่ง นอกจากนี้
จากการคาดการณ์ปริมาณน้ำใช้การล่วงหน้าในปี 67 พบว่า ณ วันที่ 1 มิ.ย. 67 จะมีปริมาณน้ำใช้การ 12,162 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 26% และ ณ วันที่ 1 ก.ค. 67 จะมีปริมาณน้ำใช้การ 11,646 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 25% ซึ่งลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่งจากวันที่ 1 พ.ย. 66 จึงจำเป็นจะต้องติดตามเฝ้าระวังการใช้น้ำ รวมทั้งต้องติดตามในเรื่องแผนการจัดสรรน้ำอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องระบายน้ำให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ และใช้เสริมจากปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเท่านั้น เพื่อให้มีน้ำสำรองกักเก็บไว้ในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในอ่างฯ ขนาดใหญ่ให้ได้มากที่สุดนายฐนโรจน์ กล่าวต่อว่า การจัดสรรน้ำในเกณฑ์ปริมาณน้ำน้อยจะส่งผลให้ระดับน้ำในคลองต่าง ๆ น้อยตามไปด้วย จึงต้องมีการจัดรอบเวรการรับน้ำ โดยแบ่งออกเป็น ต้นคลอง กลางคลอง และปลายคลอง เพื่อให้สามารถกระจายน้ำให้แก่ทุกพื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำได้อย่างทั่วถึง ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่ซึ่งมีการจัดรอบเวรการส่งน้ำโดยกรมชลประทานแล้ว ได้แก่ คลองมะขามเฒ่าอู่ทอง ตั้งแต่ จ.ชัยนาท ถึงจ.สุพรรณบุรี และคลองชัยนาท-ป่าสัก พร้อมกันนี้ สทนช. ได้ติดตามพื้นที่ประสบภัยแล้งทั่วประเทศ โดยล่าสุด ได้ประสานไปยังกรมชลประทาน พิจารณาปรับการจัดสรรน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำของคลองบางตาเถร จ.สุพรรณบุรี ประกอบกับมีฝนตกเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว ทั้งนี้ กอนช. ได้ประเมิน วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม น้ำแล้ง ล่วงหน้า 6 เดือน
ตามปริมาณฝนคาดการณ์ ONE MAP พบว่า มีพื้นที่ที่มีภาวะความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ตอนกลางของประเทศ และ ยังคงมีพื้นที่ซึ่งเป็นแนวรับลมที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมจากฝนตกหนัก โดยในเดือน ก.ค. 66 พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในบริเวณชายขอบของประเทศ ได้แก่ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน ใน จ.เชียงราย จ.พะเยาและน่าน พื้นที่บริเวณชายขอบของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ภาคกลางใน จ.เพชรบูรณ์ บริเวณลุ่มน้ำป่าสัก และพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่ จ.ระนอง ลงไป และพบพื้นที่เสี่ยงแล้ง อาทิ จ.จันทบุรีและเพชรบุรี เป็นต้นจึงขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยสามารถติดตามผ่านทางช่องทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน National Thai water เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที