สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 12 มิ.ย. 66
ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากในภาคตะวันออก
ปริมาณฝนตกใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณ จ.ตราด (120) จ.ระนอง (88) จ.สกลนคร (88) จ.สุโขทัย (68) จ.กาญจนบุรี (31) และ จ.สระบุรี (18)
ปริมาตรแหล่งน้ำทุกขนาด 42,080 ล้าน ลบ.ม. (51%) แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 37,673 ล้าน ลบ.ม. (53%)
คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก อยู่ในเกณฑ์ปกติทุกสถานี ยกเว้นแม่น้ำบางปะกง และแม่กลองค่าออกซิเจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
พื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังน้ำหลากช่วง 1-3 วัน ดังนี้ ภาคเหนือ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พิษณุโลก ตาก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ภาคกลาง ลพบุรี สระบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และกรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สถกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาการ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ภาคตะวันออก จ.นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ภาคตะวันตก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ภาคใต้ จ.ชุมพร ระนอง พังงา สุราษฎร์ธานี ปัตตานี และนราธิวาส
สทนช. ติดตามความคืบหน้าแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำชี พร้อมเน้นย้ำรับมือสถานการณ์เอลนีโญเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 66 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ติดตามความก้าวหน้าผลการศึกษาแผนหลักแบบบูรณาการเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ณ เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น จากผลการศึกษาพบว่า มีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งประมาณ 7.47 ล้านไร่เนื่องจากมีปริมาณน้ำเก็บกักรวม 2,478 ล้าน ลบ.ม. มีความต้องการใช้น้ำ 3,370 ล้าน ลบ.ม./ปี ทำให้ขาดแคลนปริมาณน้ำ 504 ล้าน ลบ.ม/ปี ในขณะที่ฤดูฝนมีปริมาณน้ำส่วนเกินที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมประมาณ 440 ล้าน ลบ.ม./ปี ทำให้มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมมากกว่า 1.31 ล้านไร่ทั้งนี้ มีแผนงานโครงการที่ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งสอดคล้องตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) โดยแบ่งแผนงานการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะกลาง (ปี 2568-2570 และระยะยาว (ปี 2571-2580) จำนวน 2,978 โครงการ โดยเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น 1,250 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น 998,000 ไร่ ลดปริมาณน้ำหลากได้ 207 ล้าน ลบ.ม. ทำให้พื้นที่น้ำท่วมลดลง 684,000 ไร่ เติมน้ำให้แหล่งน้ำขนาดเล็กตลอดสองฝั่งลำน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในฤดูแล้ง 1,348 แห่ง รวมทั้งมีระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 28 แห่ง
กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ขอรายงานสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำ ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2566 ดังนี้
ผลการดำเนินงานตาม 12 มาตรการ รองรับฤดูฝน ปี 2566
กรมเจ้าท่า เร่งขุดลอก เพิ่มประสิทธิภาพในการเดินเรือ การระบายน้ำ การอุปโภคบริโภค และเพิ่มพื้นที่รับน้ำเพื่อใช้ ในภาคการเกษตร โดยมีความคืบหน้าผลการดำเนินงานขุดลอกร่องน้ำคลองเตรียม (ร่องใน) ม.9 ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา ขณะนี้ดำเนินการได้ปริมาณสะสม 28,800 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 95.86 ผลที่ได้จากการขุดลอก เรือสามารถเข้า – ออกร่องน้ำได้ตลอดเวลา เรือสามารถหลบคลื่นลมมรสุม ส่งเสริมอาชีพประมงและการท่องเที่ยวในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง บำรุงรักษาร่องน้ำลดสิ่งกีดขวางเพิ่มพื้นที่ระบายน้ำ แก้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการขุดลอกประมาณ 100 ครัวเรือน เรือขนาด 10 ตันกรอสส์ เป็นเรือประมงพื้นบ้านแบบเพลาใบจักรยาวและเรือท้องแบน ประมาณ 100 ลำ สามารถเข้าออกร่องน้ำได้สะดวกและปลอดภัยช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยว
สภาพอากาศ
ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย ทำให้ฝนตกหนักมากในภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
การบริหารจัดการน้ำ การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ลงพื้นที่เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลการศึกษาแผนหลักแบบบูรณาการเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำและการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยฤดูฝน ปี 66 ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ แผนงานโครงการที่ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ดังกล่าวได้ ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนงานปกติของหน่วยงานและโครงการเสนอเพิ่มเติมสอดคล้องตามแผนแม่บทฯน้ำ 20 ปีจำนวน 2,978 โครงการ ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลาง มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น 1,250 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น 998,000 ไร่ ลดปริมาณน้ำหลากที่จะไหลลงสู่แม่น้ำชีตอนกลางและตอนล่างได้ 207 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่น้ำท่วมลดลง 684,000 ไร่ สามารถช่วยเติมน้ำให้แหล่งน้ำขนาดเล็กตลอดสองฝั่งลำน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งได้ 1,348 แห่ง รวมทั้งมีระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 28 แห่ง
การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำหลากดินถล่มล่วงหน้า 3 วัน
สทนช. ได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องและวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยล่วงหน้า 3 วัน พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากดินถล่ม ดังนี้ จังหวัดตาก (อำเภอท่าสองยาง แม่ระมาด อุ้มผาง และแม่สอด) จังหวัดจันทบุรี (อำเภอขลุง เขาคิชฌกูฏ ท่าใหม่ เมืองจันทบุรี มะขาม แก่งหางแมว นายายอาม และโป่งน้ำร้อน) จังหวัดตราด (อำเภอบ่อไร่ เกาะช้างแหลมงอน เขาสมิง และเมืองตราด) จังหวัดระยอง (อำเภอเขาชะเมา แกลง บ้านค่าย บ้านฉาง และปลวกแดง)จังหวัดปราจีนบุรี (อำเภอนาดี ประจันตคาม และกบินทร์บุรี) จังหวัดนครนายก (อำเภอปากพลี) จังหวัดชลบุรี(อำเภอศรีราชา และบ่อทอง) จังหวัดกาญจนบุรี (อำเภอทองผาภูมิ)