อีสต์วอเตอร์เมินส่งมอบท่อน้ำประปา “วงษ์สยาม” วุ่นร้อง “บิ๊กตู่”

“วงษ์สยามก่อสร้าง”ร้อง”นายกฯ”เร่งรัด”อีสต์วอเตอร์”ส่งมอบทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำภาคตะวันออกระบุเซ็นสัญญามานานกว่า 60วัน ชี้ 4 ประเด็น กรมธนารักษ์-วงษ์สยามฯเสียหายหนัก คิดมูลค่ากว่า 1พันล้านบาท เผยพิรุธการเชื่อมท่อส่งน้ำจี้รัฐตรวจสอบ”อีสต์วอเตอร์”ให้ผลประโยชน์ถูกต้องแค่ไหน

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 15ก.พ.นแจ้งว่า นายอนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย กรรมการผู้จัดการบริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ผู้ชนะการประมูลโครงการบริหารและดำเนินกิจการท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ยื่นหนังสือไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งรัดการส่งมอบทรัพย์สินโครงการดังกล่าวซึ่งกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแลให้บริษัทวงษ์สยามก่อสร้างที่ได้เซ็นสัญญากับกรมธนารักษ์ตั้งแต่วันที่ 30ก.ย. 2565 เนื่องจากระยะเวลาผ่านมานานกว่า 60วันแล้ว
ข่าวแจ้งว่า ในหนังสือฉบับดังกล่าวลงวันที่ 7ก.พ. 2566 ได้แนบหลักฐานของกรมธนารักษ์ที่ส่งไปถึงบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (บริษัทอีสต์วอเตอร์ ) ผู้เช่ารายเดิมให้ส่งมอบทรัพย์สินโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่2)คืนให้แก่กรมธนารักษ์ภายใน 60วัน แต่จนถึงขณะนี้ กรมธนารักษ์ยังไม่ได้รับมอบทรัพย์สินจากบริษัทอีสต์วอเตอร์ จึงเป็นเหตุให้กรมธนารักษ์ไม่สามารถส่งมอบทรัพย์สินทั้งสองโครงการให้กับบริษัทวงษ์สยามก่อสร้างเพื่อบริษัทโครงการได้
ข่าวแจ้งว่า บริษัทวงษ์สยามก่อสร้างได้ยกเหตุผลสำคัญใน 4ประเด็นที่รัฐได้รับความเสียหายจากเหตุกรมธนารักษ์ไม่สามารถหาข้อยุติในการเจรจากับอีสต์วอเตอร์และส่งมอบทรัพย์สินให้บริษัทวงษ์สยามฯล่าช้า
ประเด็นแรก หากกรมธนารักษ์ส่งมอบทรัพย์และระบบท่อส่งน้ำให้บริษัทวงษ์สยามฯได้ รัฐจะได้รับค่าแรกเข้าจำนวน 870ล้านบาท จากบริษัท วงษ์สยามฯ และได้รับส่วนแบ่งรายได้ในอัตราร้อยละ 27ต่อปีจากการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก
ประเด็นที่ 2 ช่วงเวลา 30ปีที่ผ่านมา บริษัทอีสต์วอเตอร์ฯ จ่ายผลประโยชน์ในการแบ่งรายได้ให้กับกรมธนารักษ์เฉลี่ยปีละ 19.6ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภาครัฐคืน ได้แก่การประปาส่วนภูมิภาค(กปภ.)และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เฉลี่ยปีละ 333ล้านบาท
เมื่อรวมผลประโยชน์ที่บริษัทอีสต์วอเตอร์จ่ายเงินปันผลแก่ กปภ.และกนอ. กับจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับกรมธนารักษ์แล้ว คิดเป็นเงินเฉลี่ยปีละ353ล้านบาท ในขณะที่บริษัทวงษ์สยามฯ ผู้ชนะการประมูลรายใหม่เสนอผลตอบแทนในระยะเวลา 30 ปี เป็นเงิน 25,693ล้านบาท หรือเฉลี่ย ปีละ 856ล้านบาท
“เมื่อนำผลประโยชน์มาเปรียบเทียบระหว่างบริษัทอีสต์วอเตอร์และบริษัทวงษ์สยามฯ พบว่าบริษัทวงษ์สยามฯให้ผลประโยชน์ต่อรัฐมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน” หนังสือของบริษัทวงษ์สยามฯส่งถึงพลเอกประยุทธ์ระบุ
ในประเด็นที่ 3 ระหว่างคณะของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ รวมถึงผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ไปตรวจสอบพื้นที่โครงการท่อส่งน้ำฯ พบ ท่อส่งน้ำของบริษัทอีสต์วอเตอร์เชื่อมต่อกับท่อน้ำของกรมธนารักษ์โดยไม่ได้รับอนุญาต และจะต้องตรวจสอบว่า บริษัทอีสต์วอเตอร์จ่ายผลประโยชน์ให้แก่กรมธนารักษ์ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่เพียงใด
“หากบริษัทอีสต์วอเตอร์ ยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่2) ย่อมส่งผลให้กรมธนารักษ์เสียประโยชน์” หนังสือของบริษัท วงษ์สยามฯระบุ
ประเด็นสุดท้าย บริษัทวงษ์สยามฯเซ็นสัญญามานานกว่า 60วันแต่ยังไม่ได้รับการส่งมอบพื้นที่จากกรมธนารักษ์ จึงได้รับความเสียหายในหลายประการ คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,023ล้านบาท ประกอบด้วยการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อทำสัญญา ค่าแรกเข้า จำนวน 580ล้านบาท ค่าผลประโยชน์ตอบแทนรายปี จำนวน 44ล้านบาทเศษ ค่าหลักประกันสัญญา 118ล้านบาทเศษ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 743ล้านบาทเศษนอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามเงื่อนไขของสัญญาเป็นเงิน280ล้านบาท
“ดังนั้นการส่งมอบทรัพย์สินล่าช้าอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทวงษ์สยามฯจนไม่อาจจะเยียวยาในภายหลังได้ จึงขอความอนุเคราะห์จากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล โปรดพิจารณาสั่งการเร่งรัดให้กรมธนารักษ์ติดตามทวงถามให้บริษัทอีสต์วอเตอร์ ส่งมอบทรัพย์สินคืนแก่กรมธนารักษ์เพื่อกรมธนารักษ์ส่งมอบทรัพย์สินให้กับบริษัทวงษ์สยามฯ จัดการบริหารโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่2) ให้แก่ประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยงานภาครัฐต่อไป” หนังสือของบริษัทวงษ์สยามฯระบุในตอนท้าย