คลังลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฯ
การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในปี 2566 และการยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2566 เห็นชอบ 1. การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ 2. การยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ลงกึ่งหนึ่ง ออกไปอีก 1 ปี จาก 0.25% ต่อปี เป็น 0.125% ต่อปี (0.0625% ต่องวด) ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 2566 ต่อเนื่องจากที่ปรับลดลงมา 3 ปี เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและขอให้ส่งผ่านความช่วยเหลือและผ่อนปรนภาระให้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนด้วย
2. การยุติกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้(Corporate Bond Stabilization Fund) หรือกองทุน BSF เนื่องจากกองทุนตั้งขึ้นเพื่อเสถียรภาพและสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) แต่ปัจจุบัน มีความจำเป็นลดลงจากภาวะตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนทำงานได้เป็นปกติผู้ออกตราสารหนี้ส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามจำนวนที่เสนอขาย ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงลดลง และรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดหลายด้านเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงการคลังได้กำชับให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดูแล และช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การยุติกองทุน BSF จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ และกระทรวงการคลังยังคงติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเพื่อดูแลทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป”