รัฐบาลโชว์อีอีซีเมืองอัจฉริยะติด 1 ใน 10 ของโลก
“ทิพานัน” โชว์ผลงาน “พล.อ.ประยุทธ์” ปั้นโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC วางเป้าหมาย 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580 เพื่ออนาคตที่ดีให้คนรุ่นถัดไปอย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดจ่ายชดเชยเกษตรกรในที่สปก.แล้ว2.4 พันไร่แล้ว คาดเริ่มเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนและพัฒนาพื้นที่ได้ปี 67 นี้แน่นอน
นางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC อย่างต่อเนื่อง โดยได้เร่งรัดติดตามโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะอย่างใกล้ชิด ซึ่งโครงการนี้มีพื้นที่โครงการ 14,619 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยใหญ่ จ.ชลบุรี มีการจัดวางโซนพื้นที่พัฒนาเมือง ได้แก่
- ศูนย์สำนักงานภูมิภาค และศูนย์ราชการ EEC
- ศูนย์กลางการเงิน EEC
- ศูนย์การแพทย์แม่นยำ และการแพทย์อนาคต
- ศูนย์การศึกษา วิจัยและพัฒนา นานาชาติ
- ศูนย์ธุรกิจอนาคต
- ที่พักอาศัยสำหรับคนทุกกลุ่ม
รวมถึงการเดินทางภายในพื้นที่ จะมีการวางโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมด้วยการไม่ใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เช่น รถไฟเชื่อมโยง รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้ารางเบาในเขตพื้นที่เมืองชั้นใน รถเมล์ไฟฟ้า และเรือโดยสารภายในพื้นที่โครงการ
นางสาวทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้จากผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 ที่มีมติเห็นชอบ ได้อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เข้าใช้ประโยชน์ที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จำนวน 14,619 ไร่ ในท้องที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อดำเนินโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบและรับทราบความคืบหน้าโครงการที่อยู่ในเขต สปก. ตามที่ได้จัดทำแผนแม่บทแล้วเสร็จกำหนดระยะเวลาพัฒนาโครงการ 20 ปีแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก 5,700 ไร่ระยะที่สอง 4,000 ไร่ และระยะสุดท้าย 4,919 ไร่นั้น
สกพอ.และ ส.ป.ก. ได้ดำเนินการจ่ายค่าชดเชยให้เกษตรกรผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ในระยะแรกแล้วทั้งสิ้น 2,483 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเตรียมที่ดินในเฟสแรกให้พร้อมได้ใน 5 ปีข้างหน้า โดยภายในไตรมาสแรกของปี 2566 นี้ จะเริ่มดำเนินการสรรหาและคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเมืองอัจฉริยะระดับโลก ที่มีประสบการณ์พัฒนาสมาร์ทซิตี้ให้สำเร็จทั้งในเกาหลี ซาอุดิอาระเบีย และญี่ปุ่น เพื่อออกแบบผังและจัดโซนของโครงการ รวมทั้งวิเคราะห์ธุรกิจที่เหมาะสมที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่ โดยกำหนดให้ทำการศึกษาแล้วเสร็จใน 18 เดือน และจะเริ่มให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนและพัฒนาพื้นที่ได้ในปี 2567
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาคมาตรฐานเทียบเท่าสากลใน เพื่อให้เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 เมืองของโลกในปี 2580ซึ่งแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตให้ มนุษย์และเทคโนโลยีอยู่ร่วมกัน ตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG ที่มีคุณภาพชีวิตระดับสากลที่เมื่อแล้วเสร็จตามเป้าหมาย จะสามารถรองรับประชากรได้กว่า 350,000 คน ภายในปี 2575 สร้างงานได้ไม่น้อยกว่า 200,000 ตำแหน่ง รองรับแรงงานคุณภาพสูง มูลค่าการจ้างงานกว่า 1.2 ล้านล้านบาท มีธุรกิจและบริการตามมาตรฐานสากล 150 -300 กิจการ และจากมูลค่าการลงทุนโดยรวมประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท จะสามารถช่วยกระตุ้นการขยายตัวของ GDP ให้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี ที่สำคัญสินทรัพย์ที่โอนกรรมสิทธิ์กลับมาเป็นของรัฐ เมื่อสิ้นสุดสัญญา 50 ปี จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า
“พล.อ.ประยุทธ์ ผลักดันศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะมีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้กับคนรุ่นถัดไป ควบคู่ไปกับมาตรการต่างๆที่ช่วยเหลือเยียวยาและสร้างโอกาสให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ลงลึกครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศตามนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว