หัวเว่ยได้ตัวช่วยคู่ค้าไอทีกดดันสหรัฐฯ
“หัวเว่ย” ยัน “ไม่มีเอี่ยว!” รัฐบาลจีน หรือปมการเมืองระหว่างประเทศ เชื่อแรงบีบ “ยักษ์ไอที” สัญชาติอเมริกัน อาจตีกลับ จน “กดดัน” รัฐบาลสหรัฐ ยุติ “ข้อห้ามไม่เป็นธรรม” เชื่อไทยได้ใช้ 5G ก่อนสิ้นปีนี้ พร้อมทุ่มงบมหาศาลลุยงาน R&D ทั้งเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ หลังยอดขายไตรมาสแรกปี 62 โต 31% ขณะที่ เม.ย. ยอดหล่น แต่ยังโตถึง 25% ลั่นพร้อมยึดกฎหมายไทยเคร่งครัด
การนำคณะสื่อมวลชนไทยเข้าเยี่ยมชม OPEN LAB หรือศูนย์เทคโนโลยีและการเรียนรู้ฯรองรับเทคโนโลยี 5G ที่มีให้กับพันธมิตรธุรกิจ รวมถึงหน่วยงานรัฐของไทย และลูกค้าทั่วไปของ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด
พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับคณะผู้บริหารฯ นำทีมโดย นายโจว เจิ้น ผอ.ฝ่ายกิจการสาธารณะและการสื่อสาร ภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ บริษัท หัวเว่ยฯ เมื่อช่วงสายวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ สำนักงานฯ บริเวณชั้น 29 อาคาร G TOWER รัชดาภิเษก-พระราม 9
ย่อมเป็นที่สนใจของคณะสื่อมวลชนไทยกว่าครึ่งร้อยชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มสื่อที่ไม่ใช่สายข่าวด้านไอที และมีปม “สงครามการค้า” ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับจีน ที่ดูเหมือนจะพัฒนาไปสู่ “สงครามเทคโนโลยี” และมี “หัวเว่ย” เป็น “ผู้รับเคราะห์” จากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ของการเจรจาระหว่างผู้นำ 2 ประเทศ เป็น “จุดดึงดูดความสนใจ” อย่างไม่ต้องสงสัย?
ภายหลังการเยี่ยมชม OPEN LAB แล้ว คณะผู้บริหารของ“หัวเว่ย” ได้เปิดให้คณะสื่อมวลชนไทย สอบถามความเป็นไปและแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นร่วมกัน โดยมี 4-5 ประเด็นที่ถูกถามถึงมากสุด เริ่มกันที่…ผู้บริหารของ “หัวเว่ย” เชื่อหรือไม่ว่า…ผลของ “สงครามการค้า” ได้พัฒนาไปสู่ความเป็น “สงครามเทคโนโลยี” แล้ว?
แม้จะได้คำตอบไม่ชัดเจนนัก แต่ตัวแทน “หัวเว่ย” คือ นายโจว เจิ้น ก็ย้ำหนักแน่นว่า พวกเขาคือบริษัทเอกชน ที่ไม่มีความข้องเกี่ยวกับรัฐบาล (จีน) หรือมีเรื่องการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศแต่อย่างใด? และ “หัวเว่ย” พร้อมจะดำเนินการทุกอย่าง ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทุกประเทศที่เข้าไปดำเนินกิจการ ไม่ว่าจะเป็น…การเคารพต่อกฎหมายด้านความมั่นคง การอยู่ในกติกาของระบบการจัดเก็บภาษี รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน, กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง, กฎหมายและพิธีการศุลกากร (นำเข้าและส่งออก) และดำเนินงานภายใต้กรอบของ CSR (ความรับผิดชอบต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อม)
พร้อมยังยืนยันว่า “หัวเว่ย” จะเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และนำสิ่งนี้ไปสู่ทุกคนเพื่อครอบครัว องค์กร และโลกที่เชื่อมกันอย่างสมบูรณ์และชาญฉลาด อันเป็น “ม็อตโต้” ขององค์กร “หัวเว่ย” แห่งนี้
ส่วนคำถามถึงการพัฒนาระบบปฏิบัติการ (Huawei OS) ของตัวเอง เพื่อนำมาใช้ทดแทน “แอนดรอยซ์” ของ Google ซึ่งถูกรัฐบาลสหรัฐฯบีบให้ “ตัดทิ้ง” ความสัมพันธ์กับ “หัวเว่ย” โดยเตรียมประกาศใช้ในชื่อ “Hongmeng OS” “Project Z” หรือแม้แต่ชื่อ “Ark OS” ที่ดูเป็นสากลและเหมาะสมต่อการจะทำการตลาดไปทั่วโลกได้ดีกว่านั้น เรื่องนี้…นายโจว เจิ้น กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เขาเอง ก็ได้เห็นข่าวจากสื่อต่างๆ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจาก “บริษัทแม่” ในประเทศจีนแต่อย่างใด?
กระนั้น การผ่อนปรนของ Google ด้วยการเปิดให้ลูกค้าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ “หัวเว่ย” ยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ “แอนดรอยซ์” ต่อไปได้ในระยะหนึ่ง (90 วัน) สิ่งนี้คือ จุดที่ทำให้ “หัวเว่ย” ยังคงโลดแล่นอยู่ในตลาดโลก และไม่แน่ว่า แรงกดดันจาก “นโยบายที่ไม่เป็นธรรม” ของรัฐบาลสหรัฐฯรอบนี้
อาจทำให้ผลการเจรจาระหว่าง “บริษัทสัญชาติอเมริกัน” อย่าง… Google หรือแม้แต่ Intel, Qualcomm และอื่นๆ อีกมากมาย กับ“รัฐบาลสหรัฐฯ” อาจออกมาในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อ “หัวเว่ย” รวมถึงการพัฒนาไอทีเทคโนโลยีของโลก และซัพพลายด์เชนทั่วโลก ที่ไม่ต้องถูก “ตัดตอน” เหมือนที่ใครหลายคนกังวลใจ
ส่วนยอดขายของ “หัวเว่ย” ทั่วโลกนั้น จากข้อมูลเห็นได้ชัดว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ (2019) มียอดขายเติบโตถึง 31% แม้ว่าในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ยอดขายจะลดลงบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก เพราะภาพรวมยอดขายทั่วโลกในเดือนดังกล่าว ยังคงเติบโตที่ระดับ 25% เชื่อว่า…ภายใต้ปีนี้ ยอดขายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “หัวเว่ย” ทั่วโลก จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
และนั่น ทำให้พวกเขายอมทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาล…มากถึง 10% ของยอดขาย เพื่อนำไปลงทุนทางด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาสู่ท้องตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนพนักงานและผู้บริหารของ “หัวเว่ย” ทั่วโลกราว 188,000 คนนั้น มากถึงเกือบ 45% ที่ทำงานในด้าน R&D จึงไม่แปลกที่ “หัวเว่ย” จะมีทั้งเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก จนก้าวสู่อันดับ 2 ในแง่ของยอดขายรวมในตลาดโลก ณ วันนี้
นายโจว เจิ้น ย้ำกว่า เทคโนโลยี 5G ที่ “หัวเว่ย” กำลังพัฒนาร่วมกับผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย ภายใต้นโยบายของรัฐบาลไทยนั้น คนไทยจะได้ใช้พร้อมกันทั่วประเทศก่อนสิ้นปีอย่างแน่นอน และ “หัวเว่ย” เอง ก็เตรียมนำผลิตภัณฑ์ “สมาร์ทโฟน” และอื่นๆ มาใช้รองรับเทคโนโลยี 5G ที่ว่านี้ รวมถึงร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐของไทย อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA (ด้านตรวจเช็คการใช้ไฟฟ้า), สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ด้านการจราจร) เป็นต้น
ถึงตรงนี้ คนไทย, บริษัทคู่ค้าในไทย และหน่วยงานรัฐของไทย คงรู้สึก “เบาใจ” ได้กับสถานการณ์ของ “หัวเว่ย” ในวันนี้ เพราะถึงอย่างไร? ไม่ว่าผลของ “สงครามการค้า” และ/หรือ “สงครามเทคโนโลยี” กับมหาอำนาจของโลกอย่าง…สหรัฐฯ จะลงเอยเช่นใด? เชื่อว่า…พวกเขายังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดโลกต่อไป อย่างแน่นอน!!!.