รัฐบาลเผยธุรกิจสุขภาพแรงไม่มีแผ่ว
รัฐบาลชี้เทรนด์ธุรกิจสุขภาพและความงามแปดเดือนแรกทุนจดทะเบียนเพิ่มพันล้านบาท สอดรับสังคมสูงอายุ ปี 2583 เป็น 1ใน 3 ของประชากรประเทศ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยแนวโน้มการเติบโตและฟื้นตัวของธุรกิจด้านบริการสุขภาพและความงาม ซึ่งช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่กว่า 353 ราย เพิ่มขึ้นจาก 8 เดือนแรกปี 2564 กว่า 90% ทั้งนี้ มาจากสองปัจจัยหลัก คือ โครงสร้างประชากรที่ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ปีนี้มีจำนวนผู้สูงอายุ คิดเป็นร้อยละ 18.5% และคาดการณ์ว่า ปี 2583 จะมีจำนวนผู้สูงอายุประมาณ 20.5 ล้านคน หรือ เกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ หมายถึงโอกาสทางธุรกิจด้านบริการสุขภาพและความงาม เนื่องจากกลุ่มผู้สูงอายุหันมาดูแลตัวเองและต้องการบริการด้านนี้มากขึ้น อีกปัจจัยหนึ่ง คือโรคโควิด-19 ทำให้เกิดการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ทั้งการทำงานแบบ Work from Home การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การระมัดระวังเรื่องสุขอนามัย การเลือกซื้อวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ ส่งผลให้ประชาชนมองหาบริการด้านสุขภาพและความงามมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
กรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานตัวเลขยืนยันการเติบโตและฟื้นตัวธุรกิจบริการด้านสุขภาพและความงามอย่างรวดเร็วโดย 8 เดือนแรก (ม.ค.- ส.ค. ) ปี 2565 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงถึง 353 ราย ทุนจดทะเบียน 969.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564 จำนวน 167 ราย หรือ 90% และทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 659.32 ล้านบาท หรือ 212.62% (ปี 2564 จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 186 ราย ทุน 310.10 ล้านบาท) เฉพาะเดือนส.ค. 2565 จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ 56 ราย ทุนจดทะเบียน 124.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2564 จำนวน 38 ราย หรือ 211.12% และทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 105.10 ล้านบาท หรือ 539% (ส.ค.2564 จดทะเบียน 18 ราย ทุน 19.50 ล้านบาท)
สำหรับภาพรวม มีธุรกิจบริการประเภทนี้ที่ดำเนินกิจการอยู่ ณ 31 ส.ค. 2565 จำนวนทั้งสิ้น 1,621 ราย มูลค่าทุน 7,511.48 ล้านบาทส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 836 ราย (51.57%) ทุนจดทะเบียนรวม 5,339.31 ล้านบาท (71.08%) รองลงมา คือ ภาคกลาง จำนวน 224 ราย (13.82%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 180 ราย (ร้อยละ 11.10) ภาคเหนือ 175 ราย (10.80%) ภาคตะวันออก 101 ราย (6.23%) ภาคใต้ 78 ราย (4.81%) และภาคตะวันตก 27 ราย (1.67%)
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า ยังมีนโยบายการส่งเสริมและการขยายการท่องเที่ยวของรัฐบาล ที่เน้นการท่องเที่ยวในรูปแบบ Medical Tourism (การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์) และ Wellness Tourism (การท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ) ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญช่วยขยาการเติบโตธุรกิจบริการสุขภาพและความงาม โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medial Hub) พ.ศ. 2560-2569” สนับสนุนการใช้สมุนไพรไทย เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพ (Wellness) ให้กับนักท่องเที่ยวให้ได้รับความผ่อนคลายจากผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในแต่ละท้องถิ่น อาทิ บริการนวดไทยเพื่อสุขภาพ ซึ่งยังช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่การท่องเที่ยวต่างๆ ด้วย
“ธุรกิจบริการด้านสุขภาพและความงามมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัจจัยโครงสร้างประชากรที่จำนวนผู้สูงอายุมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และการใช้ชีวิตของคนวัยต่างๆที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร รวมถึงการดูแลตนเองแบบองค์รวม อีกทั้งยังมีนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งประชาชนผู้สนใจธุรกิจด้านนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ส่วนประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ กองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0 2547 4376 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th” นางสาวรัชดา กล่าว