ธอส.ทุ่มสุดตัวพัฒนาแอปลดต้นทุนช่วยคนไทยมีบ้านง่ายขึ้น
ธอส. ยกเครื่องระบบไอที ลดต้นทุนการบริหารจัดการ และปล่อยสินเชื่อ พร้อมปรับลดขนาดสาขาในห้างสรรพสินค้า ขณะที่พนักงานต้องปรับตัวเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ย้ำทุกคนต้องปรับตัว รับดอกเบี้ยขาขึ้น-เตรียมพร้อมรับผลกระทบสงครามเศรษฐกิจสหรัฐ-จีน -รัสเซีย
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากที่ธอส.ได้นำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับปรุงการทำงานตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะระบบคอลล์แบงกกิ้ง ซึ่งใช้เงินลงทุนเกือบ 1,000 ล้านบาท ล่าสุดธอส.ได้ทุ่มเงินลงทุนอีก 100 ล้านบาท พัฒนาแอปพลิเคชั่น GHB ALL GEN ให้ทันสมัยรองรับจำนวนลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และมีหลากหลายการให้บริการ อำนวยความสะดวกลูกค้าในการยื่นขอสินเชื่อกู้บ้าน ประหยัดเวลาในการเดินทางมาสาขาธนาคาร ถือเป็นการปรับรูปแบบการทำงานให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ รองรับการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อในอนาคต โดยระบบจะสมบูรณ์ในเดือนมี.ค.2566
“ช่วงนี้จะทดลองระบบ และโอนย้ายลูกค้าที่มีอยู่ปัจจุบันราว 1 ล้านราย มาอยู่บนระบบใหม่ โดยระบบใหม่นี้จะอำนวยความสะดวกในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะก่อนที่จะปล่อยสินเชื่อลูกค้าสามารถแชทผ่านแอปพลิเคชั่นได้ทุกคำถาม รวมถึงการเตรียมเอกสารต่างๆ เมื่อเอกสารครบ สามารถมาติดต่อธนาคารเพื่อเซ็นสัญญาเงินกู้ได้ รวมถึงการประเมินราคาที่อยู่อาศัยก็จะรวดเร็วขึ้นด้วย เพราะการยื่นสินเชื่อผ่านแอปฯจะช่วยอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ในช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิดนั้น เกิดผลกระทบในวงกว้างมากนั้น ธอส.ได้เข้าไปดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ทั้งพักชำระหนี้ ขยายระยะเวลการชำระหนี้ เป็นต้น โดยคาดว่าปีนี้จะปล่อยสิ้นเชื่อได้ 300,000 ล้านบาทส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะเพิ่มขึ้นเพียง 10,000 โดยปัจจุบันอยู่ที่ 4.41% จาก 59,000 ล้านบาท เป็น 68,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันสถานะการเงินของธอส.ยังแข็งแกร่ง
“ขณะนี้สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ธนาคารพาณิชย์กำลังกลับมาทำการตลาดสินเชื่อกลุ่มที่อยู่อาศัย ดังนั้นคู่แข่งการปล่อยสินเชื่อบ้านกำลังกลับมา ขณะเดียวกันสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือยุคของแพง ซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างราคาที่อยู่อาศัยแพงขึ้น ดังนั้นราคาบ้านก็จะแพงขึ้น เมื่อราคาบ้านแพงขึ้น ภายใต้ดอกเบี้ยขาขึ้นอีก กำลังซื้อของคนลดลง แม้รายได้จะเท่าเดิม ทำให้ธอส.ต้องปรับตัว เพื่อสู้กับคู่แข่งในตลาดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่เชื่อว่าจะดุเดือดรุนแรงมากยิ่งขึ้น
นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า นอกจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับปรุงระบบการทำงานแล้ว ยังต้องปรับลดขนาดสาขาธอส. ในห้างสรรพสินค้า จากปัจจุบันสาขามีทั้งหมด 200 แห่ง โดยมี 70 สาขาที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ต้องลดขนาดสาขา บางแห่งอาจเหลือเพียงตู้ชำระเงิน แต่ยืนยันว่าไม่มีการปลดพนักงาน และไม่มีการปิดสาขา แต่พนักงงานที่อยู่สาขาเดิมต้องปรับตัวเองไปเป็นพนักงานด้านสินเชื่อ โดย ธอส. มีพนักงานทั้งหมด 5,000 คน
“ส่วนความท้าทายในปี 2566 คือการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ถึงแม้จะส่งสัญญาณมาเป็นระยะ และเรื่องสงครามเศรษฐกิจ สหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ดังนั้นทุกคนต้องปรับตัว อย่าได้กังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจ หากทุกคนปรับตัวก็จะสามารถเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าไม่มีการการปรับตัวก็ตัวใครตัวมัน”