ครม.อนุมัติงบทำลายเรือประมงระยะที่ 2 จำนวน 287 ล้านบาทรักษาข้อตกลง IUU
ครม.อนุมัติ 287 ล้านบาท โครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ ระยะที่ 2 จ่ายเงินเยียวยาค่าทำลายเรือประมงจากมาตรการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย IUU
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2565 ว่า ตามที่รัฐบาลได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ให้เป็นไปตามกฎระเบียบสากล ส่งผลให้มีเรือประมงจำนวนหนึ่งไม่สามารถทำประมงได้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทำให้เจ้าของเรือต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเรือ ประกอบกับปัจจุบัน ปี 2565 มีจำนวนเรือที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงมากถึง 9,608 ลำ ซึ่งเกินกว่าระดับที่เหมาะสม อาจส่งผลให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงและหมดไปเนื่องจากไม่สามารถเจริญเติบโตได้ทัน
ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความสมดุลของจำนวนเรือประมงพาณิชย์กับปริมาณสัตว์น้ำ รวมทั้งชดเชยเยียวยาให้กับเจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ ครม.จึงมีมติอนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 2 กรอบวงเงิน 287.18 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าชดเชยเยียวยาให้กับเจ้าของเรือประมงจากมาตรการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งผ่านเกณฑ์เข้าร่วมโครงการระยะที่ 2 จำนวน 59 ลำ โดยใช้จ่ายจากงบกลางฯ ปี 2565 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องจากระยะที่ 1 ซึ่งได้จ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับเจ้าของเรือประมงไปแล้วจำนวน 305 ลำ (จากทั้งหมด 570 ลำ) งบประมาณรวมทั้งสิ้น 764.45 ล้านบาท การจ่ายเงินชดเชยการทำลายเรือประมงยังคงใช้เกณฑ์ตามเดิม โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด คือ งวดที่ 1 จ่ายเงิน 30% ของจำนวนเงินค่าชดเชย เป็นค่าใช้จ่ายในการแยกชิ้นส่วนเรือหรือทำลายเรือประมง งวดที่ 2 จ่ายเงิน 70% ของจำนวนเงินค่าชดเชย โดยจ่ายหลังจากเจ้าของเรือแยกชิ้นส่วนเสร็จหรือทำลายเรือประมงเรียบร้อยแล้ว
นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า โครงการนี้จะช่วยให้ไทยสามารถบริหารจัดการเรือประมงให้มีจำนวนเหมาะสมกับปริมาณสัตว์น้ำได้ และช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการทำประมงผิดกฎหมายจากการใช้เรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตทาการประมงพาณิชย์ รวมถึงเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของเจ้าของเรือจากมาตรการของรัฐในการแก้ไขปัญหาการทาประมงผิดกฎหมาย สำหรับกลุ่มเป้าหมายโครงการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการในระยะต่อไป คือ กลุ่มเรือที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ที่ต้องการเลิกอาชีพทำการประมง ซึ่งมีอยู่จำนวน 2,513 ลำ