CCP มั่นใจรัฐบาลใหม่ หนุนลงทุนเมกะโปรเจกต์
CCP เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2562 กวาดรายได้ 404.59 ล้านบาท คาดรัฐบาลใหม่ สนับสนุนการลงทุน งานเมกะโปรเจกต์
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยถึง ผลประกอบการไตรมาส 1/ 2562 รายได้เฉพาะกิจการ 404.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้เฉพาะกิจการ 399.61 ล้านบาท จำนวน 4.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.24 % และมีกำไรเฉพาะกิจการ 26.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรเฉพาะกิจการ 3.54 ล้านบาท จำนวน 23.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 649 % จากบริษัทได้รับเงินปันผลจากบริษัทในเครือ ขณะที่ผลประกอบการจากงบการเงินรวมมีรายได้ 637.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 626.39 ล้านบาท จำนวน 11.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.84 % และมีกำไรสุทธิ 1.33 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.97 ล้านบาท จำนวน 4.64 ล้านบาท หรือลดลง 77.7% เนื่องมาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/62 ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตยังคงมีแนวโน้มทรงตัว จากงานโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรม ทยอยดำเนินงานก่อสร้าง อีกทั้งยังมีโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานถนน ขณะที่การลงทุนเมกะโปรเจ็คและภาคเอกชน ยังรอความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง รองรับงานโครงสร้างพื้นฐานและเอกชน ได้อย่างหลากหลาย อาทิ ท่อคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทเป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญในการผลิตท่อขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และเน้นการขยายฐานลูกค้า กลุ่มสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย โครงการขนาดกลาง-เล็ก ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความต้องการใช้งานคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่องานก่อสร้าง Land Scape เพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าคอนกรีตสำเร็จรูปกลุ่มบล็อกกำแพง บล็อกกันหน้าดิน บล็อกปูพื้น ที่ช่วยแก้ปัญหางานก่อสร้าง ลดต้นทุน ทำให้งานเสร็จรวดเร็ว ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 60% โดยบริษัทจะทยอยประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 2,500 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากงานภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20%.