กกร.ไม่ปรับจีดีพีไทยขึ้นคงกรอบ 2.5%-4% เท่าเดิม
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากรัฐบาลประกาศเปิดประเทศเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว แต่ต้องระวังอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานและปัญหาห้ามส่งออกอาหารของต่างประเทศ ส่งผลให้วัตถุดิบบางชนิดเช่น ข้าวสาลี ขาดแดลน
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการ ร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า ภาคการส่งออกไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง เศรษฐกิจโลกเผชิญ headwind จากสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ความกังวลเกี่ยวกับอาหารขาดแคลน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราเงินเฟ้อในระดับสูง การขาดแคลนสินค้าสำคัญใน supply chain ภาคอุตสาหกรรม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของหลายธนาคารกลาง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่จีดีพีอาจจะขยายตัวเพียง 4.5% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 5.5% ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงและอาจจะกระทบต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี
โดยมีสัญญาณเตือนจากตัวเลขการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่นในเดือนเม.ย.65 ที่หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่สำหรับภาพรวมการส่งออกเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ตัวเลขการส่งออกยังเติบโตได้อยู่ในระดับ 9.9% ด้านการขนส่งและ โลจิสติกส์ระหว่างประเทศ Supply ยังสามารถไปได้ แต่ยังประสบภาวะราคาค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาพลังงานที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น
ด้านการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี แม้อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจะฉุดรั้งกำลังซื้อและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ แต่เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจะได้รับแรงส่งจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น การเปิดประเทศเมื่อ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าเป้าหมายนักท่องเที่ยวปีนี้ที่ตั้งไว้ 6-8 ล้านคน น่าจะเป็นไปได้ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางในประเทศมีสัญญาณที่ดี โดยขณะนี้ฟื้นตัวได้แล้วถึงระดับ 80% ของจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2562 ดีกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 70% และในระยะข้างหน้ายังได้อานิสงส์จากการขยายสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกันเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม กกร.เป็นห่วงเรื่อง วิกฤติอาหารโลกรุนแรงขึ้นจนหลายประเทศระงับการส่งออกอาหาร ขณะที่ ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มเติม สงครามยูเครนและรัสเซียที่ยืดเยื้อทำให้ผลผลิตทางการเกษตรของโลกในภาพรวมลดลง ส่งผลให้ดัชนีราคาอาหารโลกในเดือน เม.ย.65 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 29.8% ต่อปี ทำให้หลายประเทศเริ่มเผชิญกับการขาดแคลนอาหาร และทำให้กว่า 20 ประเทศใช้มาตรการห้ามส่งออกอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มข้าวสาลี น้ำตาล และน้ำมันพืช สำหรับประเทศไทยคาดว่า โอกาสที่จะเกิดปัญหาขาดแคลนอาหารมีน้อย เนื่องจากความต้องการบริโภคอาหารยังน้อยกว่าผลผลิตที่ผลิตได้ในประเทศ
อีกทั้งในปีนี้ มีปริมาณสินค้าคงคลังสำหรับสินค้าอาหารสำคัญเทียบกับความต้องการในประเทศในระดับสูงกว่าหรือใกล้เคียงกับในอดีต ดังนั้น การที่หลายประเทศตัดสินใจระงับการส่งออก จะเป็นโอกาสของการส่งออกสินค้าของไทย อย่างไรก็ตาม ต้องมีการติดตามและบริหารจัดการสต็อกสินค้าเกษตรและอาหารที่ดี รวมทั้งบริหารจัดการไม่ให้เกิดการขาดแคลนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี และอาหารสัตว์
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยในกรอบเดิม แม้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง รวมทั้ง ต้นทุนและเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นแต่การท่องเที่ยวและการส่งออกที่ยังขยายตัวจะเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ทำให้ที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.5% ถึง 4.0% ในกรอบเดิม และคงประมาณการการส่งออกในปีนี้ ว่าจะยังขยายตัวในกรอบ 3.0% ถึง 5.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ ว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.5% ถึง 5.5%
นายสนั่น กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี2566 ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาฯ การจัดสรรงบลงทุนไว้น้อยก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจ เพราะการชะลอการลงทุนลงมาอาจเป็นการเพลย์เซฟ หรือความระมัดระวังของรัฐบาล แต่เมื่อมีโอกาสก็เริ่มกลับมาลงทุนใหม่ คิดว่าหากสงครามยุติต้องมีการลงทุนแน่นอน แต่ตอนนี้ กกร.มีความเป็นห่วงเรื่องอัตราเงินเฟ้อจากราคาพลังงาน แต่หากรัฐบาลมีมาตรการดูแลก็จะเป็นผลดี แต่หากปล่อยตามกลไกตลาดน่าจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นแน่นอน