“แคปปิตอล จีฯ” ดึงโบรกเกอร์จีนบริหารคอนโดฯยกตึก เจาะนักลงทุน
“แคปปิตอล จีฯ” เครือวัสดุก่อสร้างรายใหญ่เอสซีจี ปรับทิศธุรกิจ กระจายความเสี่ยงเพิ่มพอร์ตลงทุนอสังหาฯ ยอมรับตลาดวัสดุก่อสร้างแข่งขันรุนแรง พร้อมเป้าปี62 เปิด 2 โครงการ กว่า 2,300 ล้านบาท จัดพอร์ตให้โบรกเกอร์จีนบริหารยกตึก 216 ยูนิต แย้มปีหน้า แตกไลน์แบรนด์แนวราบ
นายชัยรัตน์ พิรุฬหพัสต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท มีนบุรีซีเมนต์ไทย จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ของเอสซีจี มียอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 62 จะเปิด 2 โครงการใหม่ในรูปแบบโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ความสูงไม่เกิน 8 ชั้น รวมมูลค่าโครงการ 2,000-2,300 ล้านบาท ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการ”มอนเต้ พระราม9″ (แยกซ.39) มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท จำนวน 536 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A B และ C จะเริ่มเปิดพรีเซลส์ในวันที่ 30 มีนาคม 62 ราคาขายเฉลี่ยประมาณ 82,000 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) เริ่มต้น 1.69 ล้านบาท คาดจะเริ่มก่อสร้างประมาณต้นปี 63 จะแล้วเสร็จในแผนปี 2564 นอกจากนี้ ในแผนประมาณช่วงไตรมาส 3 จะมีการเปิดอีกโครงการรูปแบบคอนโดฯโลว์ไรส์ มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท
” ทำเลพระราม 9 มีศักยภาพค่อนข้างมาก โดยได้รับอานิสงส์จากโครงการถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีความชัดเจนในการดำเนินงาน และตัวโครงการอยู่ห่างจากสถานีรามคำแหง 12 เพียง 150 เมตร ประกอบกับที่ดินแปลงดังกล่าว อยู่ในแวดล้อมที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก มีชุมชน ซัพพลายในทำเลพระราม 9 ยังโตได้อีก มีรถไฟฟ้าจะเกิดขึ้น ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว ถือเป็นหัวใจสำคัญของการวางกลยุทธ์ในการเลือกทำเลพัฒนาโครงการ”
ในเรื่องของการขาย ทางโครงการได้ให้ตัวแทนจำหน่าย(โบรกเกอร์)จีน ที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดคอนโดฯในไทยและมีฐานลูกค้าในจีน เข้ามาดูแลการขายในอาคาร B ทั้งจำนวน 216 ยูนิต กำหนดการเก็บเงินดาวน์ครั้งแรกถึง 30% โดยราคาขายลูกค้าต่างชาติ จะสูงกว่าราคาปกติประมาณ 10% และทางโครงการจะกำหนดราคาที่โบรกเกอร์จะไปบวกเพิ่มในการขายได้ประมาณ 10-15% ของราคาพรีเซลล์
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ในแผนธุรกิจนอกจากการกระจายสู่อสังหาฯแล้ว ในปี 2564 จะมีการลงทุนพัฒนาโครงการแนวราบ ซึ่งกำลังสำรวจตลาด ทั้งโซนรังสิต แจ้งวัฒนะ สายไหม วัชรพล เป็นต้น ขนาดเนื้อที่พัฒนาโครงการ 20-30 ไร่ กลุ่มเป้าหมายจะแบ่งเป็น 2 ตลาด ได้แก่ โครงการแนวราบระดับราคา 2-3 ล้านบาท จะเป็นรูปแบบทาวน์โฮมหรือบ้านแฝด และโครงการระดับลักชัวรี ราคากว่า 10 ล้านบาท เน้นทำเลในเมือง และในแผน 4 ปีข้างหน้า จะต้องพยายามสร้างยอดขายรอรับรู้รายได้(แบ็กล็อก)รองรับให้ได้ 6,000-7,000 ล้านบาท.