“กสิกรไทย” ชี้รัฐอุดหนุนราคาข้าว ซับน้ำตาชาวนาได้จริง
ราคาข้าวปี 2565 คาดกระเตื้องขึ้นอยู่ที่ 8,900-9,400 บาทต่อตัน บนปัจจัยท้าทายที่รุมเร้า…นโยบายภาครัฐยังคงบทบาทสำคัญ
- สถานการณ์ราคาข้าวไทยในปี 2564 นับว่าน่าเป็นห่วง โดยมีทิศทางปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และคาดว่าจบทั้งปีน่าจะมีราคาเฉลี่ยตกต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี โดยราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยอาจอยู่ที่ราว 9,040 บาทต่อตัน หรือลดลงร้อยละ 20.3 (YoY) โดยปัญหาหลักที่รุมเร้ากดดันราคาข้าวไทยคือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทบต่อการบริโภคในประเทศจากการล็อกดาวน์ ปัญหาน้ำท่วม รวมถึงในด้านการส่งออกข้าวที่ลดลงอย่างรุนแรงต่ำสุดในรอบนับ 10 ปีจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ในภาวะที่ผลผลิตข้าวไทยอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงสายพันธุ์ข้าวไทยที่ไม่หลากหลายและเริ่มไม่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลก ล้วนเป็นปัจจัยกดดันซ้ำเติมให้ราคาข้าวไทยปรับตัวลดลง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้เผชิญความยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ หากพิจารณาทิศทางราคาข้าวไทยในอดีต จะพบว่า ราคาข้าวไทยซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์จะค่อนข้างผันผวนไปตามราคาตลาดโลก ตลอดจนมีปัจจัยกดดันหลากหลายให้ราคาข้าวไม่สามารถยืนรักษาระดับที่ดีต่อเนื่องได้ เช่น คู่แข่ง สภาพดินฟ้าอากาศ เป็นต้น ทำให้ราคาข้าวไทยมักจะอยู่ในระดับต่ำ จึงนับเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อนมาอย่างยาวนาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการแก้ปัญหาด้านราคาและคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการยกระดับราคาข้าวไทยให้สูงขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาข้าวเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ในปี 2565 อาจอยู่ที่ราว 8,900-9,400 บาทต่อตัน หรือหดตัวร้อยละ 1.6 ถึงขยายตัวร้อยละ 4.0 (YoY) นับเป็นราคาที่กระเตื้องขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 แต่คงเป็นการเติบโตบนฐานที่ต่ำ จึงนับว่ายังเป็นระดับราคาที่ต่ำและให้ภาพราคาที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากปี 2564 มากนัก (ราคาข้าวเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีในช่วงปี 2559-2563 อยู่ที่ 10,259 บาทต่อตัน) โดยปัจจัยหนุนที่ทำให้ราคากระเตื้องขึ้นได้น่าจะมาจากปัจจัยด้านอุปทานที่คาดว่าปัญหา Supply Disruption จากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการส่งออกน่าจะคลี่คลายมากขึ้นในช่วงหลังกลางปี 2565 ผนวกกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะช่วยหนุนให้การส่งออกข้าวไทยอาจทำได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่น่าจะมีรองรับมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และอุปสงค์จากต่างประเทศตามเทรนด์ความมั่นคงด้านอาหารและข้าวเป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค อันจะทำให้ภาพของราคาข้าวไทยน่าจะสามารถเติบโตกระเตื้องขึ้นได้ในภาวะที่ไทยมีความพร้อมด้านผลผลิตข้าวที่อยู่ในระดับสูง จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยตามวงรอบของปรากฏการณ์ลานีญา และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรระยะสั้น/เฉพาะหน้าของภาครัฐที่จูงใจให้เกษตรกรยังคงมีการปลูกข้าวต่อไป
คาดการณ์จากตัวเลข 11 เดือนของปี 2564 จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (คาดการณ์ ณ 9 ธันวาคม 2564)
สมาคมเจ้าของเรือและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ หรือ BSAAคาดว่า ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่สูง อาจมีความเป็นไปได้ที่ยังคงต้องเผชิญปัญหานี้ต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2565 โดยเฉพาะเส้นทางหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ที่อาจจะเผชิญปัญหาความล่าช้าจากปกติที่ใช้เวลา 6 เดือน อาจขยายเป็น 1-2 ปี ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการส่งออกมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าตั้งแต่หลังกลางปี 2565 ปัญหาดังกล่าวนี้น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นได้
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่า ปริมาณการส่งออกข้าวไทยในปี 2565 อาจไม่เกิน 7 ล้านตัน อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาสถานการณ์โควิด-19 ที่มีเชื้อกลายพันธุ์ (Omicron) ที่อาจระบาดรุนแรงและกระทบตัวเลขการส่งออกข้าวไทยให้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ได้ (คาดการณ์ ณ 2 ธันวาคม 2564) ทั้งนี้ ในปี 2564 ตั้งเป้าการส่งออกข้าวไทยไว้อยู่ที่ 6 ล้านตัน
คาดว่า ในปี 2565 ผลผลิตข้าวไทยอยู่ที่ 29.5 ล้านตัน ซึ่งมีอัตราการเติบโตของผลผลิตข้าวที่ร้อยละ 3.4 ซึ่งมากกว่าประเทศคู่แข่งและโลก ทั้งนี้ อินเดียมีผลผลิตข้าวอยู่ที่ 189.4 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 เวียดนามมีผลผลิตข้าวอยู่ที่ 41.1 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 1.2 และโลกมีผลผลิตข้าวอยู่ที่ 773.8 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 (ข้อมูลจาก USDA ณ ตุลาคม 2564)
ประเมินว่า ภาพรวมปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา (ENSO) ของโลกในปี 2565 จะยังอยู่ในสถานะปรากฏการณ์ลานีญาที่มีฝนมากน้ำมากต่อเนื่องจากปี 2564 และมีความเป็นเป็นได้ร้อยละ 50 ที่จะคงปรากฏการณ์ลานีญาต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2565 (ข้อมูลจาก NOAA คาดการณ์ ณ 29 พฤศจิกายน 2564) นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อปริมาณน้ำในเขื่อนที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนผ่านภาพรวมระดับน้ำในเขื่อน ณ 8 ธันวาคม 2564 ที่มีปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนทั้งประเทศอยู่ที่ 30,925 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 51.3 (YoY) ซึ่งจะเป็นระดับน้ำต้นทุนในเขื่อนที่ดีสำหรับเพื่อใช้ในการผลิตข้าวฤดูกาลถัดไป
จากปัญหาเชิงโครงสร้างด้านราคาที่มีความซับซ้อนและส่งผลกดดันราคาข้าวไทยมาอย่างยาวนาน กระทบต่อเนื่องมาถึงในปี 2565 ที่แม้ราคาข้าวอาจกระเตื้องขึ้นได้บ้าง แต่ก็นับว่าราคายังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับอดีต ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรให้ขายข้าวได้ในราคาที่ไม่สูงนัก อีกทั้งยังต้องเผชิญต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งต้นทุนแรงงาน ราคาปุ๋ย เงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ที่ล้วนส่งผลกดดันต่อรายได้เกษตรกร ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ นับว่าการแก้ปัญหาด้านราคาคงต้องทำหลายอย่างไปพร้อมๆกัน ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักและต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การใช้มาตรการดูแลราคาข้าวของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในระยะสั้น/เฉพาะหน้า นับว่าเป็นแนวทางที่มีความจำเป็นและยังคงมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือด้านรายได้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว แม้จะส่งผลกระทบต่องบประมาณภาครัฐที่ต้องใช้จำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคงต้องมีการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีความจำเป็นในการพิจารณามาตรการระยะสั้นอื่นควบคู่กันอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ตลาด อย่างไรก็ดี แนวโน้มราคาข้าวในปี 2565 ที่กระเตื้องขึ้น อาจช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐที่ต้องใช้ในระยะสั้น เช่น โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้ลดลงได้ในระยะข้างหน้า ซึ่งอาจน้อยกว่ากรอบวงเงินที่ใช้ในโครงการปัจจุบัน (ปี 2564/65) ที่ราว 8.9 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกัน การนำแนวทางการแก้ปัญหาราคาข้าวระยะกลาง-ยาวมาปรับใช้ควบคู่ไปด้วย นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนข้าวไทยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการยกระดับในภาคการผลิต เช่น การพัฒนาระบบชลประทานของไทยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำได้มากขึ้น การให้ชาวนาเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนการแปรรูปกลางน้ำและปลายน้ำมากขึ้น การทำเกษตรแปลงใหญ่ที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงจากการใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน รวมทั้งการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูงและเป็นสายพันธุ์ที่ตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภคที่มีความพรีเมี่ยมมากขึ้น เช่น ข้าวพื้นนุ่ม ข้าวออร์แกนิก อันจะเป็นการยกระดับไปสู่การแข่งขันด้านคุณภาพไม่ใช่การแข่งขันด้านราคาในตลาด MASS ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย (AgriTech) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ผนวกกับช่องทางการตลาดแบบ E-Commerce อันจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับข้าวไทยได้อย่างยั่งยืน
คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด (นาปีและนาปรัง) คิดเป็นพื้นที่ในเขตชลประทานร้อยละ 33.7 และพื้นที่นอกเขตชลประทานร้อยละ 66.3 ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)