คนไทยพ้นเส้นความยากจนครึ่งล้าน
อภิศักดิ์ นั่งหัวโต๊ะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปบัตรสวัสดิการฯ ทำให้คนไทยที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี หรือต่ำกว่าเส้นความยากจน มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 หมื่นบาท กว่า 50% ด้านกรมบัญชีกลาง ลุยเริ่มแจกบัตรสวัสดิการฯ เพิ่มเติม (รอบที่2) กว่า 3 ล้านคน ตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.เป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ได้เรียกประชุมร่วมกับหลายหน่วยงานทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กรมบัญชีกลาง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปผลการดำเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ (เฟส) 2 ภายหลังได้ฝึกอบรมสร้างอาชีพให้มีงานมีรายได้เพิ่มหลุดพ้นจากความยากจน ตั้งแต่ต้นปี 2561 พบว่า มีผู้แจ้งความประสงค์เข้าโครงการฝึกอาชีพกับธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ประมาณ 4 ล้านคน ในจำนวนนี้เข้ารับการฝึกอาชีพเสร็จแล้ว 1.7 – 1.8 ล้านคน ผลลัพธ์พบว่าผู้เข้าฝึกอบรมประสบความสำเร็จดี มีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นจนพ้นเส้นความยากจน 30,000 บาทต่อปี สัดส่วนเกินกว่า 50% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ ทั้งยังพบว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 3% มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 100,000 บาทต่อปี เนื่องจากรัฐบาล ได้ใช้มาตรการให้เงินสนับสนุนและพัฒนาอาชีพควบคู่กันไป ไม่ได้แจกเงินเพียงอย่างเดียว ยอมรับการพัฒนาอาชีพอาจจำเป็นต้องใช้เวลา เพื่อทำให้รายย่อยมีรายได้เพิ่ม นอกจากนี้ รมว.คลังยังสั่ง สศค.ปรับเกณฑ์ลงทะเบียนผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐครั้งที่2 ประจำปี2562 โดยใช้หลักเกณฑ์นำรายได้ภาคครัวเรือนมาเป็นตัวชี้วัดแทนรายได้ของบุคคล ป้องกันคนไม่จนจริงเข้ามาลงชื่อใช้บัตรสวัสดิการฯ ด้วย
ด้านนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางได้จัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภาย ใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 โดยจะเริ่มแจกบัตรฯ ผ่านทีมไทยนิยม ยั่งยืน ทั่วประเทศ 3,042,741 ราย ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการฯ เพิ่มขึ้นจาก 11.4 ล้านคน เป็น 14.4 ล้านคน โดยบัตรสวัสดิการฯ ที่แจกเพิ่มเติมมี 2 แบบ คือ 1.บัตรแบบ Contactless เป็นบัตรที่สามารถใช้ได้กับเครื่องรับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ชนิดโมบาย ที่จะแจกให้กับผู้มีสิทธิที่แจ้งที่อยู่ปัจจุบันใน 7 จังหวัด คือ กรุง เทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม และ 2.บัตรแบบ Smart Card ซึ่งจะแจกให้กับผู้มีสิทธิในจังหวัดอื่น ๆ นอกเหนือจาก 7 จังหวัดข้างต้น
ขณะนี้ได้จัดส่งบัตรไปที่สำนักงานคลังจังหวัดทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครเรียบร้อยแล้ว เพื่อส่งต่อให้ถึงมือผู้มีสิทธิได้รับบัตรตามที่มีการประกาศรายชื่อ โดยกำหนดระยะเวลาในการรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนี้ 1. ตั้งแต่วันที่ 21 – 28 ธ.ค.2561 รับบัตรจากทีมไทยนิยมฯ ระดับตำบล/ชุมชน ซึ่งจะแจ้งจุดรับบัตรให้ทราบต่อไป และเริ่มใช้บัตรได้ในวันที่ 1 ม.ค. 2562 2.ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2561 – 31 ม.ค.2562 รับบัตรจากทีมไทยนิยมฯ ระดับตำบล/ชุมชน ซึ่งจะแจ้งจุดรับบัตรให้ทราบ และบัตรจะเริ่มใช้ได้หลังจากรับบัตรไปแล้ว 2 วันทำการ
3.ตั้งแต่วันที่ 1 – 28 ก.พ.2562 ต้องไปรับบัตร ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขตในกรุงเทพฯ ตามที่อยู่ปัจจุบันที่ลง ทะเบียนไว้ และบัตรจะเริ่มใช้ได้หลังจากรับบัตรไปแล้ว 2 วันทำการ และ4.หากพ้นระยะเวลาดังกล่าว ผู้มีสิทธิจะต้องไปรับบัตรที่สำนักงานคลังจังหวัดหรือศาลาว่าการกรุงเทพ มหานคร ในจังหวัดที่ผู้มีสิทธิได้ลงทะเบียนไว้ และบัตรจะเริ่มใช้ได้หลังจากรับบัตรไปแล้ว 2 วันทำการ
“ในการขอรับบัตร ให้ผู้มีสิทธินำบัตรประจำตัวประชาชนมารับบัตรด้วยตนเอง หากมอบให้ผู้อื่นมารับบัตรแทน จะต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้มีสิทธิและผู้มอบอำนาจ พร้อมด้วยหนังสือมอบอำนาจ และสำเนาบัตรฯ ของผู้มอบอำนาจที่ได้ลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง ทั้งนี้ ผู้ที่มารับบัตรทุกกรณีจะต้องลงชื่อเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการรับบัตรด้วย”
สำหรับผู้มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมแล้ว จะสามารถใช้สิทธิได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1. สิทธิในกระเป๋าวงเงิน ประกอบด้วย 1.1 ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง วงเงินค่าโดยสารรถ ขสมก./รถไฟฟ้า ะได้รับ 500 บาท/คน/เดือน 1.2 ค่า ใช้จ่ายในครัวเรือน สำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านธงฟ้าประชารัฐ สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับวงเงิน 300 บาท/คน/เดือน ส่วนผู้มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับวงเงิน 200 บาทต่อคนต่อเดือน, วง เงินส่วน ลดค่าซื้อก๊าซหุง 45 บาท/คน/3
2. สิทธิในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ประกอบด้วย 2.1 มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปี คนละ 500 บาท (จ่ายเพียงครั้งเดียว) จะโอนเงินเข้าบัตรให้ในวันที่ 1 ม.ค.2562 2.2 มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ผู้มีสิทธิจะได้รับช่วยเหลือค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน ค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน 2.3 มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน สำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีภาระค่าเช่าบ้านและไม่มีที่อยู่อาศัย จะได้รับเงินช่วยเหลือ จำนวน 400 บาท/คน/เดือน 2.4 มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ สำหรับผู้มีสิทธิที่มีอายุครบ 65 ปีขึ้น คนละ 1,000 บาท
นอกจากนี้ ผู้มีสิทธิที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินสงเคราะห์เพื่อยังชีพ จากบัญชีกองทุนผู้สูงอายุสำหรับภาษีสรรพสามิตและสุรายาสูบ โดย 1. ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับเงินสงเคราะห์ฯ 100 บาท/คน/เดือน และ 2.ผู้สูง อายุที่มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี ได้รับเงินสงเคราะห์ฯ 50 บาท/คน/เดือน ซึ่งจะเริ่มโอนเงินเข้าบัตรให้ในวันที่ 1 ม.ค.2562 เป็นเดือนแรก จากนั้นจะโอนให้ทุกวันที่ 15 ของเดือน สำหรับผู้สูงอายุที่อายุยังไม่ครบ 60 ปี จะได้รับเงินในวันที่ 15 ของเดือนเกิด จนถึงเดือนมี.ค.2562.