หอค้าไทย-จีนเผยผลสำรวจ “200 บิ๊กธุรกิจ” ชี้ Q4 ดี! แต่ยัง -1%
หอการค้าไทย-จีน ร่วมกับจุฬาลงกรณ์ฯ สำรวจออนไลน์ “บิ๊กธุรกิจ” ในประเทศ ทั้งคนไทยและจีนโพ้นทะเลกว่า 200 ชีวิต เผย! คาดการณ์เศรษฐกิจไทย ไตรมาส 4 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แต่ยังติดลบ 1% เชื่อ! แนวโน้มเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าลง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังต้องได้รับการก้ไขอย่างเร่งด่วน ส่วนธุรกิจที่สดใส คือ ค้าออนไลน์ โลจิสติกส์ และสินค้าเกษตร
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ปธ.กก. หอการค้าไทย-จีน กล่าวว่า หอการค้าไทย-จีน ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการ สำรวจดัชนีความเชื่อมั่น ไตรมาส 4/2564 ด้วยการสำรวจความเห็นในรูปแบบออนไลน์ ไปยัง คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทย-จีน จำนวนประมาณมากกว่า 200 คน ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ทำธุรกิจมายาวนาน มากกว่า 20-40 ปี เป็นเจ้าของกิจการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของจีน รวมถึงนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล
สำหรับแบบสอบถามประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ประเด็นเฉพาะกิจ หรือเหตุการณ์ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ ไทย-จีน 3) ตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจไทย และ 4) ตัวชี้วัดปัจจัยเกื้อหนุน ระหว่างวันที่ 16 – 26 กันยายน 2564 หรือช่วงไตรมาสที่ 3 เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 สรุปได้ว่า
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความกังวลก่อนที่จะผ่านปี 2564 คือ ความกังวลต่อการกลายพันธุ์ของโรค โควิด-19 ที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้า ปัจจัยในลำดับต่อมาคือ หนี้สะสมของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน และเสถียรภาพทางด้านการเมือง และอีกสองปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 คือ ความสำเร็จของการฉีดวัคซีนให้ได้ตามแผน และการที่ต่างชาติเฝ้าระวังไทยหากมีการระบาดของโรคเพิ่มสูงขึ้น จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการสร้างความกังวลทุกครั้งที่มีการสำรวจตั้งแต่ไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 4 รวม 4 ครั้ง ในรอบ 12 เดือน มิใช่เฉพาะแต่การสำรวจครั้งนี้เท่านั้น
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากการตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็มร้อยละ 70 ในกลุ่ม 608 (กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป, กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป) และเข็มแรกได้ร้อยละ 50 ของประชากรทั้งหมด ตามข่าว ณ ช่วงเวลาสำรวจ ผลการสำรวจพบว่าร้อยละ 19 เห็นว่าจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจมาก และ ร้อยละ 54.7 เห็นว่าจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจภายในสิ้นปี 2564 อย่างไรก็ตาม มีร้อยละ 23.6 คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างน่าจะไม่ดีขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากโรคระบาด
และยังได้มีการ สอบถามเพิ่มเติมว่า การแสดงเอกสารที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มมีความจำเป็นมากหรือน้อยเพียงใดที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ประกอบการในธุรกิจที่เป็นแหล่งพบปะของคนจำนวนมาก โดย ร้อยละ 49.1 และร้อยละ 33.5 กล่าวว่าจำเป็นและจำเป็นมากตามลำดับ ขณะที่ ร้อยละ 17.5 ให้ความคิดเห็นว่าไม่จำเป็น
สรุปได้ว่าผู้ถูกสำรวจเล็งเห็นว่าการฉีดวัคซีนให้ได้ตามแผนที่วางไว้และการมีเอกสารแสดงว่าได้รับวัคซีนแล้ว มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจในการทำธุรกิจที่มีคนพบปะกันจำนวนมาก อาทิ ร้านอาหาร และศูนย์การค้า อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่ยังมีผู้ติดเชื้อโควิดฯ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราคงจะต้องใช้ชีวิตร่วมอยู่กับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไปอีกระยะเวลาหนึ่ง หากพิจารณาจากสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 14 วัน
นอกจากนี้ ยังได้สอบถามผู้สำรวจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความสบายใจในการทำธุรกิจและการขยายการลงทุน พบว่า ร้อยละ 52.4 เห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อควรจะมีน้อยกว่า 2,000 รายต่อวัน (ค่าเฉลี่ย 14 วันย้อนหลัง) และ ร้อยละ 15.1 เห็นว่าผู้ติดเชื้อควรจะมีอยู่ระหว่าง 2,000 ถึง 4,000 ราย
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่า ร้อยละ 44.8 คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่ 4 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ในขณะที่ร้อยละ 24.1 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรงๆ ส่วนร้อยละ 25 มีความเห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลง ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันกล่าวคือ ร้อยละ 40.1 คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 31.1 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน การคาดคะเนการนำเข้านั้น ร้อยละ 45.8 คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ 25.5 การนำเข้าจะทรงตัว ส่วนผลของการสอบถามความคิดเห็น ด้านการลงทุนของจีนในไทย พบว่า การคาดคะเนระหว่างการลงทุนจากจีนที่ เพิ่มขึ้น คงเดิม หรือลดลงไม่มีความแตกต่างกัน ระหว่างไตรมาสนี้และไตรมาสหน้า
สำหรับอุปสรรคการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดจีน ซึ่งได้ฟื้นตัวแล้ว พบว่าอุปสรรคหลักคือ ปัญหาจากค่าขนส่งทางเรือ ปัญหาของความเพียงพอของการให้บริการทางเรือ การขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบในประเทศไทย ขั้นตอนการนำเข้าสินค้าของจีน และมาตรฐานสินค้าที่จีนบังคับใช้ แต่เป็นที่น่าสนใจว่าการชำระและการโอนเงินค่าสินค้านั้นเป็นอุปสรรคน้อยที่สุด
เนื่องจาก ทางการจีนกำลังรณรงค์นโยบายเศรษฐกิจเติบโตที่รอบด้านและเสมอภาค (Common Prosperity) ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยที่กำลังฟื้นตัวจาก โควิด-19 จากการคาดการณ์พบว่าร้อยละ 30.2 จีนจะนำเข้าสินค้ามากขึ้นและลงทุนในไทยมากขึ้น ร้อยละ 22.6 ให้ความคิดเห็นในทิศทางตรงกันข้าม ร้อยละ 12.3 คาดว่าไม่มีผลกระทบ
จากผลการสำรวจที่ยังมาฟันธงได้ในกรณีนี้ คงต้องติดตามผลของนโยบายอย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของนโยบายจีน
“ประเด็นเชิงนโยบายของจีนที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด คือ วิกฤตพลังงานของจีน จะส่งผลต่อการชะลอกำลังการผลิตและชะลอการนำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์การผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรม ทั้งของจีนเอง รวมถึงในภูมิภาคและโลกโดยรวม” นายณรงค์ศักดิ์ ย้ำและว่า
การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน สรุปได้ว่า ร้อยละ 41.5 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ 26.9 จะทรงๆ แต่ร้อยละ 28.8 ไตรมาสที่ 4 จะชะลอตัวลง ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คือธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจโลจิสติกส์ พืชผลการเกษตร เกษตรแปรรูปและบริการสุขภาพ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และพืชผลการเกษตรบางรายการ
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวเสริมว่า การฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ให้มีความยั่งยืนได้นั้น คงต้องเน้นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ จะอาศัยจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากๆ เช่น นักท่องเที่ยวจีน 9-10 ล้านคนต่อปี เหมือนกับช่วงก่อนการระบาดโควิด-19 คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจำนวนแรงงานภาคการท่องเที่ยวส่วนหนึ่งซึ่งเป็นแรงงานส่วนเกินจำเป็นต้องออกจากภาคการท่องเที่ยว จะต้องได้รับการเพิ่มทักษะหรือปรับเปลี่ยนความถนัด (upskills และ reskills) เพื่อโยกย้ายไปสู่ภาคธุรกิจบริการและอุตสาหกรรมอื่นๆ และแรงงานอีกส่วนหนึ่งจะโยกย้ายกลับภูมิลำเนาเพื่อเข้าสู่ภาคเกษตรกรรมและจะทำอย่างไรให้แรงงานส่วนนี้กลายเป็นเกษตรกรอัจฉริยะ (smart farmer) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศต่อไป
“ในการคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตหรือ GDP ของประเทศไทยทั้งปี 2564 ร้อยละ 54.5 คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจติดลบ ส่วนร้อยละ 28.7 คาดว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในช่วงไม่เกิน 1% การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันร้อยละ 44.3 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนร้อยละ 26.9 คาดว่าคงเดิม และร้อยละ 26.4 คาดว่าจะปรับตัวลดลง สำหรับแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ร้อยละ 36.84 คาดว่าเงินบาทจะมีค่าอ่อนลงที่ 32.90-33.65 และ ร้อยละ 7.18 คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงมาก ในอัตราที่มากกว่า 33 เมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาในไตรมาสหน้า” ปธ.กก. หอการค้าไทย-จีน กล่าวสรุป.