“สมคิด”ทุ่มแสนล้านอุ้มคนแก่และจน
“สมคิด” บุกกระทรวงการคลังมอบนโยบายผู้บริหารคลัง ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง มั่นใจรัฐบาลเตรียมการณ์ไว้ดี หากไม่ติดขัดช่วงเลือกตั้งรอรัฐบาลใหม่เศรษฐกิจไม่หยุดชะงัก
“ผมได้เตรียมงบประมาณไว้แสนล้านบาทเพื่อดูแลคนจนที่สูงอายุเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด้วย พร้อมกำชับให้กระทรวงการคลังดันพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและ พ.ร.บ. e-Business บังคับใช้ทันในรัฐบาชุดนี้” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวหลังจากการมอบนโยบายผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2561 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในอีก 3 เดือนข้างหน้า
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินที่กระทรวงการคลัง โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง และนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังเกือบทั้งหมดเข้าร่วมรับฟังนโยบายในครั้งนี้ โดยใช้เวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 09.00 น.ถึงเวลา 11.30 น.ถึงจะเสร็จสิ้น
“การเดินทางมาในครั้งนี้ มีหลายเรื่องที่ต้องการให้กระทรวงการคลังดำเนินการต่อไปจนเสร็จเรียบร้อย และยืนยันว่า จะไม่มีการหยุดชะงักระหว่างที่มีการเลือกตั้งและรอตั้งรัฐบาลใหม่” นายสมคิด กล่าวว่า
สำหรับประเด็นหลักๆ ที่ต้องการให้กระทรวงการคลังเดินหน้าต่อไป คือ การเดินหน้าเรื่องกฎหมายที่สำคัญ 2 ฉบับคือ 1.ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพ.ศ. … ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระ 1 หากไม่มีข้อสงสัย หรือสอบถามเพิ่ม เติมก็สามารถเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ3 เพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
และ2.ร่าง พ.ร.บ.แก้ ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Business ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกา โดยตนได้กำชับให้กระทรวงการคลังเร่งผลักดันกฎหมายทั้ง 2 ฉบับให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
“กฎหมายทั้ง 2 ฉบับถือมีความสำคัญกับกระทรวงการคลังเป็นอย่างมาก จึงอยากเห็นการผลักดันให้มีผลสำเร็จโดยเร็ว” นายสมคิด กล่าวและกล่าวว่า
พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น รัฐบาลต้องการให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเรามั่นใจว่า จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้กับสังคมได้ ซึ่งหาก ร่างกฎหมายผ่าน สนช.ปีนี้ ก็จะมีผลบังคับใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ขณะที่ e-Business เป็นสิ่งที่กระทรวงการคลังต้องผลักดันให้สำเร็จ เพราะการค้าขายทุกวันนี้เป็นแบบออนไลน์ไปทั่วโลกไม่ได้ค้า ขายภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดช่องโหว่ของการเสียภาษี
นอกจากนี้ ยังสั่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปหาแนวทางในการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งปัจจุบันผู้ถือบัตรฯ ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี มีประมาณ 4 ล้านคน ส่วนที่เหลือมีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทแต่ไม่ถึง 100,000 บาทต่อปี ประมาณ 7 ล้านคน
โดยได้ตั้งงบประมาณใส่ในกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยปีงบประมาณ2561 กองทุนฯ ดังกล่าว มีจำนวนเงิน 46,000 ล้านบาท และในปีงบประมาณ2562 จะใส่เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาท โดยตั้งใจว่า งบ ประมาณที่เพิ่มขึ้นจะนำไปช่วยเหลือผู้อายุทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ถือบัตรที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี
ส่วนสถานการณ์ท่องเที่ยวนั้น จะมีการหารือกับ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อหามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงกลาง เดือนพ.ย.ต่อเนื่องถึงเดือนธ.ค.และต้นปีหน้าด้วย ซึ่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เสนอมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม วีซ่า หรือ Visa on Arrival (VOA) ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการทั้งหมด ซึ่งจะมีเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย