ยสท.ดึงซานตาเฟ่ดันธุรกิจกัญชง จ่อตั้ง บ.ลูกสานต่อการค้า
ยสท.ผนึก “ซานตาเฟ่ ฟาร์ม” เดินหน้าพัฒนาธุรกิจกัญชงครบวงจร หวังสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย ด้าน “ผู้ว่าฯภาณุพล” เชื่อ! กัญชงสร้างรายได้ทดแทนใบยาสูบ จากเดิมไร่ละ 2.3 หมื่นบาท เพิ่มเป็น 3-4 เท่าตัว ย้ำ! จ่อตั้ง “บริษัทลูก” ขึ้นมาสานงานต่อ โดยเฉพาะเชิงพาณิชย์
นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) กล่าวภายหลัง พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือโครงการพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับกัญชงอย่างครบวงจร กับ บริษัท ซานตาเฟ่ ฟาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 ว่า ความร่วมมือนี้จะเน้นสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืนหลังจากได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีสรรพาสามิตบุหรี่ใหม่ ที่จะเริ่มประกาศใช้ในวันที่ 1 ต.ค.2564 โดยจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรจะร่วมกันเดินสายพบและให้ความรู้แก่เกษตรกร การเลือกสายพันธุ์กัญชงปลุกในแต่ละพื้นที่ที่มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ไม่เหมือนกัน ไปจนถึงความร่วมมือในการผลิตและทำตลาดในอนาคต ทั้งนี้ ยืนยันว่า ยสท.จะไม่ผลิตบุหรี่ผสมกัญชงหรือกัญชา แต่จะเน้นต่อยอดสร้างเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ยกเว้น! ได้รับอนุญาตจากภาครัฐในการผลิตเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศ
“ปกติเกษตรกรใบยาสูบราว 14,000 ครัวเรือน หรือราว 5 แสนคน จะมีรายได้จากการเพาะปลูกใบยาสูบประมาณ 23,000 บาทต่อไร่ แต่หลังจากอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ปรับขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ที่ลดลงของเกษตรกลุ่มนี้อย่างแน่นอน ซึ่งความร่วมมือที่ ยสท.เซ็น MOU กับซานตาเฟ่ ฟาร์ม ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงความร่วมกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนอื่นๆ เพื่อต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากใบกัญชงและกัญชา จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรกลุ่มนี้มากกว่าเดิม 3-4 เท่าตัว” ผู้ว่าการ ยสท. ย้ำ และว่า
แม้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะมีความเห็นชอบให้ ยสท.ดำเนินการในเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในเรื่องนี้ ยสท.จึงเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงวิชาการ รองรับการตัดสินใจของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ ยสท.จะตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดูแลการดำเนินงานทั้งในเรื่องกัญชงและกัญชา รวมถึงสร้างความร่วมมือทั้งทางด้านวิชาการ และด้านธุรกิจในอนาคตอันใกล้ต่อไป
ด้าน นายธนกฤต สมสงวน ปธ.กก.ผจก.ใหญ่ บริษัท ซานตา เฟ ฟาร์ม (ประเทศไทย) เสริมว่า บริษัทแม่ฯถือเป็นยักษ์ใหญ่ 1 ใน 3 ของโลกที่มีความเชี่ยวชาญและได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ โดยป็นผู้นำอุตสาหกรรมกัญชง ตั้งแต่การเพาะปลูก การแปรรูป การสกัด และการผลิตกัญชงแบบปลอดสาร THC ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงที่ได้จากพืชกัญชง เชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น
ขณะที่ นายสตีเวน กลักสเติร์น (Steven Gluckstern) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง และ นายริคกี้ เดวิด ชาเวลสัน (Ricky David Schawelson) ปธ.จนท.ปฏิบัติการ บริษัท ซานตาเฟ่ ฟาร์ม แอลแอลซี (สหรัฐอเมริกา) ได้แสดงความยินดีผ่านระบบออนไลน์ ต่อการเป็นพันธมิตรและพาร์ทเนอร์ในครั้งนี้ พร้อมแสดงความเห็น ว่า อุตสาหกรรมกัญชงจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งต่อไทยและประเทศสหรัฐฯ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และความสัมพันธ์อันดีของ 2 ประเทศ โดยการร่วมทุนนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ตลอดจนการเพิ่มอัตราการจ้างงานในประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งในภาคพลังงานชีวภาพ การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการกักเก็บคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากพืชกัญชง ซึ่งเป็นหนึ่งในกระแสหลักใหม่ที่กำลังเป็นที่สนใจในภาคธุรกิจและองค์กรรัฐบาลระหว่างประเทศ.