คปภ.ผุดอีก 4 ม.เร่งด่วน! ยุติปม “ยื้อจ่าย” ประกันฯเจอ(ไม่)จ่ายจบ!
คปภ. เร่งเคลียร์ปมประกันฯยื้อจ่ายเคลมประกภันภัยโควิด “เจอจ่ายจบ” หลังโดนมวลชนกดดันหนัก สั่งเพิ่ม 4 ม.เร่งด่วน! เร่งแก้ปัญหาจ่ายค่าเคลมฯล่าช้าเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยแก่ประชาชน เผย! สัปดาห์หน้าจะเชิญผู้เกี่ยวข้องของบริษัทฯ มาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่มีการร้องเรียนในแต่ละกรณี หวังยุติเรื่องร้องเรียน
ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) กล่าวถึง กรณีมีผู้เอาประกันภัยหลายรายมายื่นเรื่องร้องเรียนที่สำนักงาน คปภ. เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2564 หลังถูกบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ปฏิเสธและปิดช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนประกันภัยโควิด-19 ว่า สำนักงาน คปภ. ได้อำนวยความสะดวกและรับเรื่องร้องเรียนของผู้เอาประกันภัยไว้ทุกราย เพื่อช่วยติดตามและสั่งการให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงาน คปภ. เรื่อง ให้แก้ไขเพิ่มเติมคู่มือ ระบบงาน และกระบวนการดำเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 โดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามสถานการณ์จ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิดล่าช้า อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย โดยส่งทีมงานจากสายตรวจสอบ ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์และติดตามการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และในวันนี้ (8 ก.ย.) ได้มี การประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัยในสถานการณ์โควิด-19 และ คณะทำงานชุดย่อยทั้ง 4 ชุด เพื่อหารือเกี่ยวกับ การบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนและดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายกับบริษัท ที่มีเจตนาประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19
โดยได้ เชิญผู้บริหารบริษัทประกันภัย มาให้ข้อมูลและชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่บริษัทฯ ปฏิเสธและปิดช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนของผู้เอาประกันภัยที่เข้าร้องเรียนและติดตามทวงถามการจ่ายเคลมประกันโควิด-19 รวมถึงกรณีที่ไม่สื่อสารที่สร้างความเข้าใจให้กับผู้เอาประกันภัย ตลอดจน ได้แจ้งมาตรการทางกฎหมายที่จะดำเนินการ หากยังคงฝ่าฝืนคำสั่งฯ และประกาศฯ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ สำนักงานฯ ได้กำหนดมาตรการเร่งด่วน 4 มาตรการเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
1. เร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย กรณีบริษัทกระทำการเข้าข่ายเป็นความผิดฐานประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2549 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับรายวันอีกวันละไม่เกิน 20,000 บาท
โดยจะ นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ในวันอังคารที่ 14 ก.ย.นี้ และ หากพบว่าบริษัทประกันภัยแห่งใด จงใจฝ่าฝืนมาตรการดังกล่าว ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ก็จะยกระดับการบังคับใช้กฎหมาย ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ
2. ให้บริษัทฯ เร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด-19 ให้แล้วเสร็จ โดยใน สัปดาห์หน้าจะเชิญผู้เกี่ยวข้องของบริษัทฯ มาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่มีการร้องเรียนในแต่ละกรณี เพื่อให้สามารถยุติเรื่องร้องเรียนโดยเร็ว
3. ให้บริษัทฯ ปรับปรุงหน่วยงานรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 โดยเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัย และให้นำระบบออนไลน์มาใช้ในการบริหารจัดการการรับเรื่องร้องเรียนและการติดตามความคืบหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัย และลดภาระค่าใช้จ่าย ในการเดินทางมาที่บริษัทฯ รวมทั้งลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้เอาประกันภัย
และ 4. ให้บริษัทฯ เร่งปรับปรุงและเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้เอาประกันภัยให้ถูกต้องและชัดเจน
“ขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ โดยจะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับทุกบริษัทที่ฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมทั้งจะติดตามและดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้บริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนจะบูรณาการเพื่อแก้ไขกรณีการจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงเชื่อว่าปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้าจะคลี่คลายโดยเร็ว” เลขาธิการ คปภ. ย้ำ
ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัย ติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ.1186 หรือ Add Line Official@oicconnect หรือ website คปภ. www.oic.or.th.