ปชป. เปิด 6 ร่าง 3 พรรคร่วมรัฐบาล ชง แก้รัฐธรรมนูญ

เปิด 6 ร่าง 3 พรรคร่วมรัฐบาล ชง แก้รัฐธรรมนูญ ปชป. เรียกร้อง สมาชิกรัฐสภาทุกคน อย่าตั้งหลักว่าจะไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ขอให้ฟังเสียงของตัวแทนพี่น้องประชาชนก่อน
เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่พรรคได้ยื่นร่วมกับอีก 2 พรรคในนามพรรคร่วมรัฐบาล ต่อประธานรัฐสภาไปแล้วเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งหมด 8 ร่าง และเป็นการเห็นพ้องต้องกัน
สำหรับในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จะได้มีการนัดประชุม ส.ส. ของพรรคในวันจันทร์ที่ 21 มิ.ย. นี้ เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 22-24 มิ.ย. ที่จะถึง โดยวาระสำคัญในวันที่ 22 มิ.ย. จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยประชามติ ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการพูดคุยจนตกผลึกแล้ว คาดว่า ส.ส. ทุกคนมีความพร้อมที่จะร่วมกันผลักดันกฎหมายประชามติให้ผ่านในการประชุมรัฐสภาต่อไป

ในส่วนของการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น นายราเมศกล่าวว่า ตามระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา มีการกำหนดไว้ในวันที่ 23-24 มิ.ย. สำหรับพรรคประชาธิปัตย์นั้นได้มีการร่วมลงชื่อกับพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นจึงต้องมีการจัดเตรียมข้อมูลในการอภิปรายทั้ง 8 ร่าง และอาจจะรวมถึงร่างอื่นที่มีความสอดคล้องกับหลักการของพรรคด้วย โดยในวันพรุ่งนี้ทางคณะกฎหมาย นำโดยนายถวิล ไพรสณฑ์ ประธานคณะกฎหมายจะได้มีการประชุมเพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับ ให้ ส.ส. ของพรรค ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ได้นำไปอภิปรายในที่ประชุมต่อไป
ทั้งนี้ นายราเมศ ได้ให้รายละเอียดสาระสำคัญของทั้ง 6 ร่าง ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นเสนอ และพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนาได้ร่วมลงชื่อด้วยนั้น มีดังนี้
ร่างที่ 1 ร่างที่เกี่ยวกับสิทธิของพี่น้องประชาชน ประกอบด้วย
มาตรา 29 ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม รายละเอียดของการประกันตัว รายละเอียดของการต่อสู้คดี เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว และเป็นธรรม ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 และปี 50 มีรายละเอียดอยู่มาก แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเหลือเพียง 2 มาตรา ดังนั้นจึงต้องดึงสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมของพี่น้องประชาชนกลับคืนมา
มาตรา 43 เรื่องสิทธิชุมชนของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นหลักในการปกป้องสิทธิของประชาชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 60 ได้ตัดสาระสำคัญในส่วนนี้ออกไปมากพอสมควร
มาตรา 46 เรื่องสิทธิของผู้บริโภค ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 50 มีการระบุรายละเอียดไว้มากพอที่จะเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนได้ แต่รัฐธรรมนูญ ปี 60 ก็ได้ตัดส่วนนี้ออกไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแก้ไขเพื่อเพิ่มสิทธิของประชาชนให้มีส่วนร่วมในการปกป้องสิทธิในฐานะเป็นผู้บริโภคให้มากขึ้น
มาตรา 72 เป็นมาตราที่พรรคประชาธิปัตย์คิดเพื่อวางหลักประกันขั้นพื้นฐานให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีการแก้ไขเพื่อกำหนดให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินทำกิน ซึ่งจะต้องมีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างทั่วถึง และเป็นธรรม
“ทุกคนอาจจะบอกว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ นักการเมืองพยายามแก้ไขเฉพาะโครงสร้างทางการเมือง แก้ไขเฉพาะที่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง เรื่องการเข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่หรอกครับ ร่างที่เราได้ยื่นต่อประธานรัฐสภาเป็นร่างที่ 1 เป็นร่างที่เกี่ยวกับสิทธิของพี่น้องประชาชน เพื่อดึงเอาสิทธิต่างๆ ของพี่น้องประชาชนกลับคืนมา … จากการลงพื้นที่ของบุคลากรพรรคทั่วประเทศ ประชาชนกำลังเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกินเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นมาตรา 72 เราจึงจะแก้ไขในเรื่องการกำหนดหลักประกันขั้นพื้นฐานให้พี่น้องประชาชนในการกระจายที่ดินทำกิน และรัฐจะต้องจัดสรรให้เกษตรกรในเรื่องน้ำอย่างเหมาะสมและพอเพียงด้วย” นายราเมศกล่าว
ร่างที่ 2 เป็นร่างระบบเลือกตั้ง ซึ่งเสนอให้แก้ไข 2 มาตรา
มาตรา 83 ที่กำหนดให้มี ส.ส. แบบแบ่งเขตจำนวน 400 คน ระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ดังนั้นเมื่อมีจำนวน ส.ส.เขต 400 คน และมีจำนวนพื้นที่มากขึ้น ก็จะทำให้การดูแลพี่น้องประชาชนมีความทั่วถึงยิ่งขึ้น และตอบสนองเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชน
มาตรา 91 เป็นการคำนวนสัดส่วนของผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ที่พรรคการเมืองจะได้มีสิทธิ์ในการได้รับการจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งร่างของประชาธิปัตย์ ได้เปิดกว้างให้มีการพูดคุย และหากจะมีการคำนวนสัดส่วนคะแนนก็จะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ร่างที่ 3 ร่างที่เกี่ยวกับกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเสนอให้แก้ไขมาตรา 159 โดยจะกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทำได้ 2 กรณี 1. บุคคลที่พรรคการเมืองได้ยื่นเป็นบัญชีของพรรคว่าบุคคลใดสมควรเป็นนายกรัฐมนตรี กรณีที่ 2 ผู้ถูกเสนอชื่อในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อดำรงตำแหน่งนายกฯ จะต้องเป็น ส.ส.
ยกเลิกมาตรา 272 ในเรื่องอำนาจวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี
ร่างที่ 4 เป็นร่างแก้ไขมาตรา 256 เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขได้ง่ายขึ้นกว่าฉบับปัจจุบันที่กำหนดไว้ ซึ่งได้กำหนดให้การแก้ไขเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากในวาระที่ 1 ต้องมี ส.ว. เห็นชอบจำนวน 1 ใน 3 (84 คน) และในวาระ 3 ก็กำหนดเงื่อนไขว่า ส.ว. ต้องเห็นชอบในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จำนวน 1 ใน 3 (84 คน) ดังนั้นการแก้ไขมาตรานี้ก็จะเป็นการตัดเงื่อนไขจากที่มีการกำหนดจำนวน ส.ส. และส.ว. เป็นจำนวนบังคับที่จะต้องให้ความเห็นชอบในวาระ 1 และ วาระ 3 ออกไป โดยจะเสนอให้แก้ไขเป็นการใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา ซึ่ง ส.ว. ก็ยังสามารถมีส่วนร่วมในการเติมเต็มในคะแนนเสียง 2 ใน 3 นี้ได้อยู่
ร่างที่ 5 เป็นร่างที่เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริต ประกอบด้วยมาตรา 236 และมาตรา 237 คือเรื่องการกำหนดให้มีการดำเนินคดีกับคณะกรรมการ ปปช. ซึ่งรัฐธรรมนูญ ปี 60 กำหนดว่าการดำเนินคดีต่อ ปปช. นั้น ให้ยื่นต่อประธานรัฐสภา แล้วให้ประธานรัฐสภาพิจารณาตัดสินใจก่อนว่าจะเห็นสมควรยื่นต่อศาลฎีกาหรือไม่ ในเรื่องนี้มีความจำเป็นต้องแก้ไข 2 มาตราดังกล่าว เพื่อให้ประธานรัฐสภาเป็นคนกลางส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา เพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ เพราะหากไม่แก้ไขกรณีนี้ วันหนึ่งหากประธานรัฐสภา ไม่ใช่ท่านชวน หลีกภัย แล้วจะมีหลักประกันให้พี่น้องประชาชนได้อย่างไร
“ทุกคนบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ป้องกันการทุจริตอย่างเข้มข้น หลายคนบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่มีการจัดการนักการเมืองที่ทุจริตอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่หรอกครับ และมีหลายคนบอกว่านักการเมืองพยายามแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ป้องการการทุจริตมากจึงจำเป็นต้องแก้ไข อันนี้ก็ไม่ใช่อีกครับ เรามองเห็นจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญว่า กระบวนการตรวจสอบการทุจริตนี้ ไม่มีการถ่วงดุล และไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นอย่างแท้จริง”
“เราต้องแก้ไข 2 มาตรานี้ เพื่อให้ประธานรัฐสภาเป็นแค่คนกลางที่จะต้องส่งเรื่องที่ ส.ส. ส.ว. หรือประชาชนที่จะยื่นดำเนินคดีต่อ ปปช. ยื่นต่อประธานรัฐสภา และประธานรัฐสภาเป็นคนกลางที่จะต้องส่งให้ประธานศาลฎีกา เพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ววันหนึ่งถ้าประธานรัฐสภา ไม่ใช่ชื่อ ชวน หลีกภัยแล้ว เราจะมีหลักประกันให้พี่น้องประชาชนได้อย่างไร อาจจะมีการต่อรองคดีกันว่าถ้าเกิดว่า ส.ส. มายื่นดำเนินคดีกับ ปปช. แล้ว ประธานรัฐสภาบอกว่าคุณต้องยกคำร้องใน ปปช. ที่เป็นนักการเมืองพรรคเดียวกับผมก่อน เพราะประธานรัฐสภาก็มาจากพรรคการเมือง เราต้องการแก้ไขให้มีการตรวจสอบการทุจริต เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ถ่วงดุลอย่างแท้จริง จะไม่มีการฮั้วคดีกัน หรือต่อรองในทางคดีเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง” นายราเมศกล่าว
ร่างที่ 6 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น ในมาตรา 76/1 มาตรา 76/2 และมาตรา 251 มาตรา 252 มาตรา 253 และมาตรา 254 รัฐธรรมนูญ ปี 60 ได้ให้อำนาจท้องถิ่นลดน้อยลงถอยลงจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมามากพอสมควร เริ่มตั้งแต่สาระสำคัญ โดยระบุว่าการเลือกผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งจากพี่น้องประชาชน แต่มีการระบุเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า หรือวิธีการอื่น จึงจำเป็นต้องแก้ไขในส่วนนี้ว่า การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นจะต้องมาจากการเลือกตั้งจากพี่น้องประชาชนโดยตรงเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดในเรื่องการกำหนดหลักประกันขั้นพื้นฐาน ให้ท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ และสาธารณูปโภคต่างๆ เมื่อมีการตั้งหลักในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ก็จะต้องทำให้เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จ อย่างน้อยต้องมีการกำหนดไว้เป็นสาระสำคัญเพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง
นายราเมศ ยังได้เรียกร้องไปยังสมาชิกรัฐสภาทุกคนว่า อย่าตั้งหลักว่าจะไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญซักฉบับ อย่าตั้งหลักว่าไม่เห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังรายละเอียดสาระสำคัญในวาระรับหลักการ วาระที่ 1 ขอให้ฟังเสียงของตัวแทนพี่น้องประชาชนก่อนว่า พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์มากน้อยขนาดไหน พี่น้องประชาชนเรียกร้องให้มีการแก้ไขส่วนใดบ้าง เมื่อรับรู้ข้อมูลครบถ้วน ตรงตามความเป็นจริงแล้วก็เชื่อว่าจะเปลี่ยนในสมาชิกรัฐสภาให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้ระบุถึงการเรียกประชุมใหญ่สามัญของพรรคการเมืองว่า กกต. ไม่ได้มีการกำหนดวัน แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการจัดประชุมของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งหากพรรคการเมืองใดพร้อมโดยมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ก็จะได้แจ้งวันประชุมกับ กกต. สำหรับพรรคประชาธิปัตย์จะได้มีการพูดคุยกันเร็วๆ นี้