เยียวยาแบบไหนถูกใจ SME
ส.อ.ท.เจาะผลการสำรวจ พบ 3 อันดับแรก ที่ SME ต้องการให้รัฐช่วยเหลือ คือมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ ลดเงินสมทบประกันสังคม และสินเชื่อฟื้นฟูกิจการ
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดผลการสำรวจ FTI Poll ภายใต้หัวข้อ “มาตรการเยียวยาแบบไหนถูกใจ SME” เดือน พฤษภาคม 2564 พบว่า มีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ มากกว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2563
ส่วนผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ SME จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ใน 3 อันดับแรก พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความเป็นห่วงในเรื่องความเสี่ยงจากการติดเชื้อของแรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็นร้อยละ 91.2 รองลงมาเป็นเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจจากการหยุดกิจการ คิดเป็นร้อยละ 74.1 และเรื่องความต้องการสินค้าและบริการที่ลดลง รวมถึงการชะลอการรับสินค้า คิดเป็นร้อยละ 67.1
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธาน ส.อ.ท.บอกว่า สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ SME ของภาครัฐในปัจจุบัน นั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของ SME ได้ 3 อันดับแรก ได้แก่ มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ เช่น คนละครึ่งเฟส 3, เราชนะ, ม.33, ขยายวงเงินช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ เป็นต้น คิดเป็นร้อยละ 71.2
รองลงมาเป็นมาตรการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือฝั่งละ 2.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 3 เดือน คิดเป็นร้อยละ 64.7 และมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 คิดเป็นร้อยละ 61.8
อย่างไรก็ตามผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่าภาครัฐยังมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือ SME เพิ่มเติม เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ 3 อันดับแรก ได้แก่ มาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภค 30 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นร้อยละ 59.4
รองลงมาเป็นการลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการและค่าส่วนกลางของห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า พื้นที่เช่าโรงงาน ร้อยละ 50 โดยผู้ให้เช่าสามารถนำส่วนลดไปลดหย่อนภาษีในรอบบัญชีถัดไปได้ คิดเป็นร้อยละ 55.3 ถัดไปเป็นการขยายระยะเวลาจัดเก็บภาษี VAT
และเร่งคืนเงินภาษี VAT ให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ส่งออก ภายใน 15 วัน และการอนุญาตให้นิติบุคคลที่เป็น SME เข้าร่วมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้ มีคะแนนเท่ากันที่ร้อยละ 53.5
ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงกรณีที่ภาครัฐเตรียมจะออก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโควิด-19 ว่าควรนำเงินดังกล่าวไปใช้ในเรื่องใด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 74.1
รองลงมาเป็นการช่วยเหลือ เยียวยาให้แก่ประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นร้อยละ 70.6 และแก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 คิดเป็นร้อยละ 65.9
ขณะที่ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังได้ประเมินว่า จากแผนการใช้เงินกู้ 5 แสนล้านบาท จะสามารถช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงใด โดยส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงกลางปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 37.1 รองลงมาเป็นช่วงปลายปี 2565 คิดเป็น ร้อยละ 23.5 อีกทั้งมองว่าจำนวนเงินดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดเป็นร้อยละ 21.8 และคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี 2564 คิดเป็นร้อยละ 17.6
นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า หลังจากวิกฤตโควิด-19 สิ้นสุด SME ไทยควรให้ความสำคัญกับการปรับตัวเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคตเรื่องใดบ้าง พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาช่วยในการดำเนินธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 75.9 รองลงมาเป็นการพัฒนาทักษะแรงงาน และเพิ่ม Multi Skill ให้กับแรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็นร้อยละ 64.1 และการบริหารจัดการด้านการเงินเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต คิดเป็นร้อยละ 58.8