คลังลดวงเงินกู้โควิดฯรอบใหม่เหลือ 5 แสนล.
คลังปรับลดแผนกู้สู้โควิดฯรอบใหม่ เหลือ 5 แสนล้าน ใช้ในปีงบฯนี้ 1 แสนล้าน ที่เหลือเตรียมใช้ในปีงบฯหน้า “อาคม” กางแผนใช้เพื่อการแพทย์ 3 หมื่นล้าน เยียวยา 3 แสนล้าน และอีก 1.7 แสนล้าน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้าน ผอ.สบน. ระบุ! บอร์ดนโยบายวินัยการเงินการคลังฯ เตรียมประชุมพิจารณาสัดส่วนหนี้ประเทศต่อจีดีพีใหม่ เชื่อวงเงินกู้ 2 ก้อนใหญ่ ช่วยดันจีดีพีโต 1.5% แถมช่วยลดสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่คาดว่าจะขยับไปที่ 58.56% ณ สิ้น ก.ย.64 ลงได้อีก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พ.ร.ก.กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2) ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 โดย พ.ร.ก. ดังกล่าวให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศ หรือออกตราสารหนี้ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกรอบวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท โดยต้องลงนามในสัญญากู้เงิน หรือออกตราสารหนี้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565
ทั้งนี้ การกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2 นี้ จะต้องนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานหรือโครงการตามบัญชีแนบท้ายพระราชกำหนด ซึ่งประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่…
1.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ COVID-19 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข
2.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 วงเงิน 300,000 ล้านบาท
และ 3.แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบ จากการระบาดของ COVID-19วงเงิน 170,000 ล้านบาท
ในกรณีจำเป็น คณะรัฐมนตรี (ครม.) สามารถอนุมัติปรับกรอบวงเงินภายใต้แผนงานหรือโครงการภายใน 3 วัตถุประสงค์นี้ได้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท
ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ครม.ได้มีมติอนุมัติโครงการภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 แล้ว 287 โครงการ กรอบวงเงินกู้ 817,223 ล้านบาท และกระทรวงการคลังได้กู้เงินแล้ว จำนวน 703,841 ล้านบาท และได้มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 680,099 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 83.22 ของวงเงินที่ครม.อนุมัติ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2563 หดตัวที่ประมาณ – 6% ซึ่งต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ไว้ที่ – 8.1% และที่ IMF คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ – 8%
“ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 เป็นต้นมา สถานการณ์ COVID-19 ได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมีการติดเชื้อเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์การขยายตัว GDP ปี 2564 ของไทยไว้ที่ 1.5% – 2.5%
รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่แต่แหล่งเงินงบประมาณที่สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหามีจำกัดและไม่เพียงพอ อีกทั้ง ถือเป็นกรณีที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงได้มีการตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของ COVID-19 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 กรอบวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท
เพื่อให้รัฐบาลมีงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอันเนื่องมาจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นวิกฤตของประเทศได้อย่างต่อเนื่องกับมาตรการที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศกลับมาสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังจากการระบาดของ COVID-19 บรรเทาหรือยุติลง” นายอาคม ระบุและว่า…
กรอบวงเงินกู้ 500,000 ล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2 เป็นกรอบวงเงินที่เหมาะสมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ช่วยเหลือเยียวยา ตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของของCOVID-19 ระลอกใหม่ได้อย่างต่อเนื่องกับ พ.ร.ก.กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 โดยคาดว่าการดำเนินโครงการหรือแผนงานภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2 จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2564–2565 สามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.5 จากกรณีฐาน ก่อนมีการตรา พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 2
ด้าน นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา สบน.ได้บริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบและระมัดระวังตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และภายใต้กรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ทำให้ประเทศไทยมีพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) คงเหลือและเพียงพอเพื่อดำเนินนโยบายและแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ
สำหรับการกู้เงินวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาทนั้น สบน.จะบริหารจัดการอย่างรอบคอบ โดยวางแผนและทยอยกู้เงินตามความจำเป็นและตามแผนการเบิกจ่ายจริง และไม่ได้กู้เงินทั้งจำนวน 500,000 ล้านบาท ในคราวเดียว โดยจะใช้เครื่องมือทางการเงินที่ผสมผสานทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ได้วงเงินกู้ที่ครบถ้วนภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสมและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดการแย่งสภาพคล่องจากภาคเอกชน และส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ
แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 เกือบครบ 1 ล้านล้านบาท และจะต้องกู้เพิ่มอีกประมาณ 500,000 ล้านบาท โดยจะมีการกู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้และในปีหน้า เพื่อใช้ดำเนินนโยบายการคลังเพิ่มเติมในการดูแลทุกภาคส่วนรวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตการระบาดของ COVID-19 คาดว่าในปีงบประมาณ 2564 จะใช้วงเงินกู้ไม่เกิน 100,000 ล้านบาท ที่เหลือจะใช้โครงการใหม่ๆ ในปีงบประมาณหน้า
โดย สบน.ได้ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 ว่าจะอยู่ที่ 58.56% และจะยังคงดำเนินการบริหารหนี้สาธารณะด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังและการบริหารหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลยังมีมุมมองที่ดีต่อภาคการคลังที่แข็งแกร่งของประเทศไทยซึ่งสะท้อน ความเชื่อมั่นของการดำเนินนโนบายทางการคลังของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา
“ปีนี้ครบรอบ 3 ปีของการประกาศใช้ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ซึ่งตามกฎหมายแล้ว คณะกรรมการนโยบายวินัยการเงินการคลัง จะต้องประชุมหารือเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่หากจำเป็นสามารถปรับสัดส่วนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบันได้ ซึ่งเราประเมินกันว่า เมื่อ พ.ร.ก กู้เงิน COVID-19 ฉบับที่ 1 และ 2 ถูกนำไปใช้เพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงด้านสาธารณสุขแล้ว จะช่วยให้จีดีพีขยายตัว 1.5% และเมื่อจีดีพีขยายตัวขึ้น สัดส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ก็จะลดลงโดยปริยาย” ผอ.สบน. กล่าว.