ธนารักษ์ติดเครื่องปี’64 เร่งภารกิจ “เพื่อสังคม – ส่งรายได้เข้ารัฐ”

ธนารักษ์ ยุค “ยุทธนา หยิมการุณ” โชว์ผลงานเด่น “เพื่อสังคม พ่วงจัดส่งรายได้เข้ารัฐ” ตั้งเป้าเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุ ปี ‘64 ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท จัดเช่าที่ราชฯเพิ่มอีก 3 หมื่นราย เผย! เร่งชดเชยเงินหาย 3-4 ร้อยล้านบาท จากการ “เว้นวรรค” เก็บค่าเช่าฯเพื่อที่อยู่อาศัยและเกษตรกร ช่วงโควิดฯระบาดรอบใหม่ ผ่านกลยุทธ์ “เช่า-ประมูล (ขาย)” ที่ราชพัสดุ เน้นโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 จ. ระบุ! เตรียมตั้งหน่วยงานใหม่ รับผิดชอบดูแลที่ดินนอกราชอาณาจักรไทย

นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ พร้อมคณะผู้บริหารฯ ร่วมแถลงผลการดำเนินงานในปีงบประมาณที่ผ่านมา และแผนงานในปีงบประมาณ 2564 ผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ไปยัง ธนารักษ์จังหวัดกว่า 10 แห่งทั่วประเทศ โดยกล่าว ตอนหนึ่งว่า ภารกิจสำคัญคือการจัดระบบและวางหลักเกณฑ์การครอบครองและใช้ที่ราชพัสดุ 12.6 ล้านไร่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมฯราว 4% หรือราว 5 แสนไร่ และมีแผนจะดึงจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กลับคืนมาอีก 6% หรือ 1 ล้านไร่ เพื่อที่กรมฯจะได้นำมาจัดสรรสร้างประโยชน์สูงสุด ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เพิ่มคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน
ที่ผ่านมา กรมฯแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดิน ด้วยการรับรองสิทธิการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุ ภายใต้ โครงการ “ธนารักษ์ประชารัฐ” ควบคู่กับการเปิดตลาดชุมชนในพื้นที่แต่ละจังหวัด ผ่านโครงการ “เปลี่ยนชุมชนเป็นห้องประชุมในที่ราชพัสดุ” โดยสร้างโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการในชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ในทุกระดับ
สำหรับปีงบประมาณนี้ กรมฯได้รับมอบหมายจาก นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ให้เร่งดำเนินงานจัดเก็บรายได้ตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยยังคงเน้นการบริการจัดการในเชิงสังคม ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่าจะจัดให้เช่าที่ราชพัสดุให้ได้ 3 หมื่นรายในปีนี้ และที่เหลืออีกราว 2 หมื่นรายในปี 2565 ซึ่งประชาชนสามารถใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัย ทำการเกษตรกรรม หรือประกอบกิจการต่างๆ ในที่ดินของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เพียงเพิ่มคุณภาพชีวิตในสังคม แต่ยังแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐได้อีกด้วย

ส่วนการจัดเก็บรายได้นั้น แม้จะไม่ใช่กรมจัดเก็บรายได้หลัก แต่ก็ได้รับมอบหมายให้จัดเก็บรายได้ไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา ที่จัดเก็บได้ราว 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมฯมีภารกิจลดภาระรายจ่ายให้กับผู้เช่าที่ราชพัสดุทั้ งเพื่อการอยู่อาศัยและการเกษตร ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ โดยจะไม่จัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุ ตั้งแต่เดือน ม.ค. – ธ.ค. 2564 ซึ่งจะทำให้สูญเสียรายได้ราว 300-400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพิจารณาผ่อนปรนการจัดเก็บค่าเช่าในเชิงพาณิชย์ โดยใช้วิธีการเลื่อนการจัดเก็บค่าเช่าออกไป ทั้งนี้ พิจารณาจากผลประกอบการจริงที่ผู้เช่าฯได้รับผลกระทบ และถูกรับรองโดยกระทรวงพาณิชย์ แต่ยืนยันว่าจะไม่ยกค่าเช่าให้ฟรี! อย่างแน่นอน
“แม้กรมฯจะมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชฯกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ไวรัสโควิดฯกลับมาระบาดรอบใหม่ แต่จะใช้วิธีการรายได้รายใหม่ๆ เข้ามาเสริม” อธิบดีกรมธนารักษ์ ระบุและว่า
หนึ่งในนั้น คือ การจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุกว่า 2 ล้านไร่จากรัฐวิสาหกิจ โดยก่อนหน้านี้ กรมฯไม่เคยจัดเก็บรายได้มาก่อน แต่หลังจากมีกฎหมายใหม่ (พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2562) ออกมา จำเป็นจะต้องจัดเก็บการใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุ โดยเฉพาะในส่วนที่นำไปประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการจัดทำอัตราค่าเช่าที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม เพื่อให้รัฐวิสาหกิจเหล่านั้น มีเวลาปรับตัว กรมฯจะใช้วิธีการผ่อนปรนการจัดเก็บค่าเช่า จนกว่าจะผ่าน 3-5 ปีแรกไปก่อน จากนั้นจึงจะจัดเก็บตามอัตราที่กำหนดใหม่ โดยจะไม่ให้กระทบกับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าประปาและค่าไฟฟ้า

นอกจากนี้ ยังจะ เปิดประมูลออนไลน์ทรัพย์สิน (ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) ที่รับโอนจากการยึดของ ปปง.และ ป.ป.ส. ตามคำสั่งศาล คาดว่าจะเริ่มในช่วงปลายเดือน ม.ค.หรือต้น ก.พ.นี้ อีกทั้ง ยังจะพิจารณาต่อหรือไม่สัญญาการเช่าที่ราชพัสดุ บริเวณริม ถ.สุขุมวิทสายเก่า (บางนา-ฉะเชิงเทรา) ตลอดความยาว 70 กม. ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าที่เพื่อเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ (บ่อปลา) เป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น หลังจากมีการตัดขยายถนนเพิ่มเป็น 6-8 เลน และการเปิดประมูลที่ดินราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ทั่วประเทศ เพื่อนำมาหารายได้เข้ารัฐ
นายยุทธนา กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ กรมฯได้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเช่าที่ราชพัสดุจัดสร้างเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร หนองคาย และตาก ซึ่ง ครม.ได้สั่งการให้หารือในรายละเอียดและผลกระทบที่เกิดขึ้นตามา ร่วมกับ สภาพัฒน์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหน่วยงานในพื้นที่นั้นๆ
เบื้องต้น ในส่วนของ จ.ตาก น่าจะเปิดประมูลให้กับผู้สนใจรับไปดำเนินการได้ในช่วงต้นปีนี้ ส่วนพื้นที่ จ.มุกดาหารและหนองคาย อาจต้องปรับเกณฑ์และเพิ่มเงื่อนไขที่จูงใจมากกว่าเดิมในระดับใกล้เคียงกับพื้นที่อีอีซี โดยเฉพาะการปรับเพิ่มระยะเวลาการเช่าที่ดินจาก 30 ปี เป็น 50 ปี โดยขณะนี้ รอให้สภาพัฒน์จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะ ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเร็วๆ นี้ เพื่อที่กรมฯจะได้ประสานงานต่อไป รวมถึงแผนการเปิดประมูลสนามกอล์ฟบางพระ จ.ชลบุรี, การเร่งรัดสัญญาร่วมดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา ตามมา

“เราเพิ่งได้รับการยืนยันให้เป็นดูแลและจัดการทรัพย์สินนอกราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานทูตไทย, สถานกงสุล และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาลไทย ที่ผ่านมา เพิ่งมีการขายที่ดินในกรุงบรัสเซล เบลเยี่ยม ไปราว 1 พันล้านบาท และได้นำส่งเงินให้รัฐบาลไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ กรมธนารักษ์จะได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมารับผิดชอบงานในส่วนนี้โดยเร็ว”
อธิบดีกรมธนารักษ์ ย้ำว่า แม้กรมฯจะเพิ่มการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ แต่ยังคงเน้นภารกิจเพื่อสังคม โดยสนับสนุนให้ประชาชน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสังคมโดยรวมมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเน้นสังคมผู้สูงอายุ เห็นได้จากการดำเนินการ โครงการ “ที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามา-ธนารักษ์” จ.สมุทรปราการ ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
รวมถึง เตรียมขยายการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของข้าราชการพลเรือนทุกประเภทบนที่ราชพัสดุ ไม่ต่ำกว่า 1 พันยูนิต ในพื้นที่ในกรุงเทพฯ เชียงราย นครนายก อุบลราชธานี อุดรธานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ยะลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นนทบุรี นครราชสีมา และจันทบุรี
และ เร่งสำรวจบ้านทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในพื้นที่ของส่วนราชการ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 95 แห่งทั่วประเทศ มาทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยอาจให้เอกชนเข้ามาประมูลเพื่อทำประโยชน์ ตลอดจนเพื่อการท่องเที่ยวในชุมชนนั้นๆ และยังช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ โดยต้นเดือน ก.พ.นี้ จะเปิดประมูลบ้านขุนพิทักษ์บริหาร หรือบ้านเขียว อยุธยา และบ้านพายัพ ซอยสามเสน 5 กรุงเทพฯ.