“TMB-ธนชาต เวลท์”หนุนลงกองทุน “เฮลท์แคร์”
ทีเอ็มบีและธนชาต เวลท์ แบงก์กิ้ง ชวนเจาะลึกแนวทางการสร้างพอร์ตสุขภาพดี ผ่านกองทุน “เฮลท์แคร์” ระดับโลก รับผลบวกโควิด-19 หนุนเติบโตแบบก้าวกระโดด
แม้ในครึ่งปีแรกสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างรุนแรง แต่ทว่าตลาดหุ้นก็สามารถฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม “เฮลท์แคร์” ซึ่งมีการปรับตัวโดดเด่นและเป็นที่สนใจของนักลงทุน ทีเอ็มบีและธนชาต เวลท์ แบงก์กิ้ง จึงได้จัดงานสัมมนาการลงทุน “TMB | Thanachart Investment Talk หัวข้อ “โอกาสสร้างพอร์ตสุขภาพดี ผ่านกองทุนเฮลท์แคร์ระดับโลก” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน คุณธนัฐ ศิริวรางกูร หรือ หมอนัท คลินิก กองทุน และ คุณฐิติรัฐ รัตนสิงห์” Multi-Asset Fund Manager บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) พร้อมด้วย คุณศรายุทธ แก้วเกษ เจ้าหน้าที่บริหาร บริหารความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน ทีเอ็มบี มาร่วมพูดคุยเจาะลึกถึงโอกาสของการลงทุน และปัจจัยที่ผลักดันหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ รวมทั้งนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถเติบโตต่อไป ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญให้กับนักลงทุนมีพอร์ตการลงทุนที่ดี เพื่อสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นต่อไปได้
การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงประมาณ 30-40% ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เป็นผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและการผ่อนคลายนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)ถือว่ามีส่วนสำคัญในการกู้วิกฤตครั้งนี้อย่างมาก ซึ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถช่วยบรรเทาไม่ให้เศรษฐกิจปรับลงรุนแรง อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น หากนักลงทุนเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มไม่ดีก็อาจจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี หรือมีโอกาสขาดทุนได้ โดยเมื่อเกิดวิกฤตพบว่าหุ้นกลุ่มที่ฟื้นตัวเร็วในครึ่งปีแรกก็คือ หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง
ประเด็นที่ทำให้หุ้นกลุ่ม “เฮลท์แคร์” น่าลงทุน ประเด็นแรกคือ อุตสาหกรรมได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเดิมหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์มีการเติบโตที่ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดโควิด-19 ผู้คนยิ่งตื่นตัวเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ยิ่งทำให้นักลงทุนมีความสนใจเข้ามาลงทุนในเฮลท์แคร์มากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีแต่ผลกระทบเชิงลบ เท่านั้น ประเด็นที่สอง คือ สังคมผู้สูงอายุในหลายๆประเทศ ทำให้ตลาดเฮลท์แคร์มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก รวมทั้งโรคที่มีผู้ป่วยมาก อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ เป็นโรคที่มีความต้องการในการรักษาเป็นจำนวนมาก โดยในอีก 2-3 ปีข้างหน้าคาดการณ์ว่าตลาดจะมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นการเข้าไปลงทุนเพื่อให้เติบโตไปพร้อมกับตลาดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีต่อผู้ลงทุน
“ในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ กลุ่มเฮลท์แคร์เติบโตประมาณ 3-4% แต่ช่วงหลังถูกผลักดันด้วยหลายปัจจัย ทั้งเรื่องสุขภาพและโควิด-19 รวมทั้งเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การแพทย์มีศักยภาพในการรักษามากขึ้น ทำให้การเติบโตสามารถเพิ่มได้เป็น 5%”
ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ไม่ได้ครอบคลุมแค่การรักษาโรคเท่านั้น อาจมองไปถึงบริษัทประกันด้วย เพราะการดูแลสุขภาพทำให้มีความต้องการซื้อประกันมากขึ้น เพื่อเพิ่มความอุ่นใจในการใช้ชีวิต รวมถึงภาคธุรกิจต้องซื้อสวัสดิการให้พนักงาน โดยในแต่ละปีต้องจ่ายเบี้ยประกันให้พนักงานเพิ่ม 10-15% ทุกปี ถือได้ว่าการลงทุนในเฮลท์แคร์ยังมีหุ้นกลุ่มเล็กพ่วงด้วยอีก คือ เฮลท์แคร์สุขภาพ ประกันที่ดูแลสุขภาพและบริการ และเทคโนโลยีในเฮลท์แคร์ด้วย ตลาดจึงเติบโตและถูกผลักดันจากหลายปัจจัย โดยเติบโตได้ตามเงินเฟ้อหรือมากกว่า ดังนั้น การลงทุนในหุ้นเฮลท์แคร์จะให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อไปด้วย
ประเด็นที่สาม คือ “นวัตกรรม” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ ทำให้ศักยภาพการรักษาพยาบาลดีขึ้น เช่น กรณีของโรคมะเร็งที่ปัจจุบันมีนวัตกรรมใหม่ ๆ สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ตรงจุดมากขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยลงทำให้คุณภาพชีวิตคนดีขึ้นและมีอายุยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม
นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ สามารถลงทุนผ่านกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล เฮลท์แคร์ ฟันด์ (UGH) ที่ทีเอ็มบีและธนชาตคัดสรรมานำเสนอ มีนโยบายลงทุนในหุ้นเฮลท์แคร์ทั่วโลกที่มี นวัตกรรมสูง ใน sub-sector (Biopharma, med tech, healthcare services) ที่หลากหลาย โดยมีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม mid และ small cap ซึ่งแตกต่างจากกองทุน global healthcare อื่นๆ ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 7 เพราะเป็นกองทุนที่มีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม
โดยกองทุนนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่าง บลจ.ยูโอบี และ บลจ.เวลลิงตัน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นเฮลท์แคร์ที่มีคุณภาพมากว่า 30 ปี ด้วยทีมงานและนักวิเคราะห์ที่ประกอบด้วยแพทย์และนักวิจัย เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้มีกลุ่มอุตสาหกรรมย่อย ๆ จำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มหลักๆ ได้แก่ เฮลท์แคร์เซอร์วิส, เมดิคัลเทคโนโลยี, ไบโอเทคที่ผลิตยา โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทในสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนนี้จะลงทุนทั้งในบริษัทยาขนาดใหญ่ซึ่งมีข้อดีคือไม่ผันผวนมาก พร้อมกับเพิ่มผลตอบแทนด้วยการลงทุนในไบโอเทคขนาดเล็ก ที่มีแนวโน้มที่จะมียาใหม่ๆที่กำลังจะประสบความสำเร็จออกสู่ตลาด และเมดิคัลเทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาเกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการแพทย์
กองทุนเฮลท์แคร์กองนี้มีจุดเด่นเรื่องความผันผวนต่ำ เหมาะกับการลงทุนระยะยาว หรือเมื่อลงทุนระยะสั้นผลตอบแทนก็มีแนวโน้มที่ดีกว่าหลายๆอุตสาหกรรม โดยผลตอบแทนย้อนหลังจะสูงกว่าดัชนีอ้างอิง แม้ระยะสั้นจะปรับตัวลดลงมาบ้าง แต่อานิสงส์จากโควิด-19 ที่เข้ามาเร่งให้คนตื่นตัวเรื่องสุขภาพ รวมทั้งนวัตกรรมที่มาส่งเสริมการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ทีเอ็มบีและธนชาตเชื่อว่ากองทุนเฮลท์แคร์ เป็นกองทุนที่ควรแนะนำ เพื่อให้นักลงทุนมีพอร์ตการลงทุนที่เติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีต่อไป