ผู้ว่า ธปท.กระตุ้นปรับโครงสร้างเศรษฐกิจลดความเหลื่อมล้ำ
ธปท. ย้ำไทยต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ โดยต้องได้รับความร่วมมือทั้งระดับ มหภาค และจุลภาค
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 63 “ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง”ว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหาที่สั่งสมมานาน ทั้งความเสื่อมถอยของผลิตภาค การขาดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำที่อยู่ในระดับสูง และการขาดความคุ้มกันในหลายระดับของสังคมไทย ดังนั้นไทยจะต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจในทุกมิติ
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้มีความยั่งยืนในระยะยาวนั้นจะต้องมองถึงการสร้างรากฐานในระยะยาวที่ยั่งยืน 3 ด้าน ได้แก่ 1. การเพิ่มผลิตภาพให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 2. การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับเศรษฐกิจไทย และประชาชน ทำให้สามารถรองรับกับความไม่แน่นอน ความผันผวนของเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจประเทศใดประเทศหนึ่ง และ 3. การกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงในสังคมไทย
โดยปัญหาที่อยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่อยู่มาหลายทศวรรษ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีข้อจำกัดในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ได้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นออกมาทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค
นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่สำคัญในปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาการกระจุกตัวของรายได้ ปัญหาการเข้าถึงการศึกษา และปัญหาความเลื่อมล้ำสูง ซึ่งถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา สะท้อนให้เห็นถึงอนาคตข้างหน้าที่เกิดความเลื่อมล้ำขึ้น ซึ่งเด็กที่เกิดในครอบครัวยากจนที่สามารถเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้มีเพียง 5% เท่านั้น เมื่อเทียบกับเด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีรายได้สูงและร่ำรวยสามารถเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ 100%
ความเหลื่อมล้ำที่มาจากภาคการศึกษามีผลต่อการพัฒนาประชากรของประเทศที่นำไปสู่ความสามารถในการทำงาน การสร้างรายได้ การประกอบกิจการ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ ซึ่งเป็นผลที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นปัญหาที่ฝั่งลึกอยู่ในสังคมไทย และเป็นเรื่องที่ภาครัฐจะต้องนำกลไกออกมาแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
ขณะที่ในด้านผู้ประกอบการนั้นการแข่งขันของตลาดยังกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 85% ของตลาดทั้งหมด ผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กยังไม่สามารถเข้าถึงตลาดได้อย่างเต็มที่ และโดนผู้ประกอบการรายใหญ่กีดกันการเข้าตลาด ทำให้รายได้ของภาคธุรกิจยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กมีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจค่อนข้างยาก รวมไปถึงผู้ประกอบการหน้าใหม่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากตามไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐจะต้องนำเครื่องมือเข้ามาปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยลงให้ได้ เพื่อทำให้เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง และทำให้ทุกคนได้รับโอกาสที่เท่าเทียม