วิจัยกสิกรฯคาด กนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.50%
ศูนย์วิจัยฯกสิกรไทย คาดผลประชุม กนง. 24 มิ.ย.นี้ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมที่ 0.50% หวังรอผลมาตรการการคลัง – การปรับลดดอกเบี้ยเมื่อ พ.ค. – มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน – มาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อนตัดสินใจกำหนดแนวทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
การประชุมคณะกรรมการนโยบายกรเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า คณะกรรมการฯ จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อรอดูประสิทธิผลของมาตรการการเงินการคลังที่ได้ออกไปก่อนหน้านี้ ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือน พ..ที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน เช่น การพักชำระหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น รวมถึงมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ต่อการช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยประคับประคองภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
รอติดตามผลจากการลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนดอกเบี้ย : โดยหลังจาก กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จาก 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง เพื่อสนับสนุนกลไกภาครัฐ และช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนในการลดต้นทุนทางการเงินเพื่อรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
มาตรการทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ : นอกจากมาตรการทางการเงินต่างๆ ที่ได้ออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งการพักชำระหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพิ่มเติม ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากการพักชำระหนี้ที่ประกาศก่อนหน้านี้ โดยจะมีการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 2-4% ต่อปี ซึ่งจะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2563 อีกทั้งได้ออกมาตรการเพิ่มวงเงินบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลสำหรับลูกหนี้ที่มีความจำเป็นต้องการใช้วงเงินเพิ่มเติมเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 สิส.ค.2563 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564 รวมถึงขยายขอบเขตและระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากCOVID-19 ในระยะที่ 2 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2563 เพื่อลดภาระหนี้ของประชาชนและช่วยบรรเทาปัญหาการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว และแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท : ที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดเป็นวงเงินราว 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อการแพร่ระบาดของโรคสามารถควบคุมได้ มาตรการการคลังจึงเน้นไปที่การประคองเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และยังมีการเร่งพิจารณาโครงการในงบฟื้นฟู 4 แสนล้าน ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อที่จะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันที ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบตั้งแต่เดือน ก.ค.ต.ค. 2563 ทั้งนี้ มาตรการทางการคลังมีแนวโน้มที่จะส่งผลได้รวดเร็วกว่าและครอบคลุมกว่ามาตรการทางการเงิน
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงสูงจากเศรษฐกิจต่างประเทศ และกำลังซื้อภายในประเทศ : นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่ง กนง. คงจะต้องคอยประเมินสถานการณ์ และชั่งน้ำหนักความเสี่ยงด้านต่างๆ รวมถึงประเมินความเพียงพอของมาตรการทางการคลังและมาตรการทางการเงินที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
เศรษฐกิจต่างประเทศยังเผชิญความเสี่ยงสูง : เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ บราซิล และอินเดีย ยังไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่หลายประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น ก็เผชิญความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดระลอกสอง หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ การพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรคยังมีความไม่แน่นอน โดยคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาเป็นปีจนกว่าจะพัฒนาออกมาได้สำเร็จ ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจถดถอยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยล่าสุด คาดว่า IMF จะมีการปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงอีกสำหรับ World Economic Outlook (WEO) ในเดือน มิ.ย. จากคาดการณ์เดิมในเดือนเมษายนที่ -3.0% ซึ่งเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ผนวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จะเป็นแรงกดดันภาคการส่งออกของไทย
กำลังซื้อในประเทศและการจ้างงานที่ลดลงเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในประเทศ : แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยจะเริ่มคลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงสูงและอาจไม่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้เร็ว เนื่องจาก การส่งออกและการท่องเที่ยวยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจต่างประเทศในระดับสูง ส่งผลต่อเนื่องมายังรายได้ของคนในประเทศให้ได้รับผลกระทบตามไปด้วย นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโรคทำให้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคยังต้องยึดถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่ยังไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ และมีผลต่อเนื่องมายังการจ้างงานที่ลดลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานในไทยอาจเพิ่มขึ้นจาก 1.0% ในปีก่อนหน้า ไปแตะที่ระดับ 4.0% ในปีนี้ ซึ่งการจ้างงานที่อ่อนแรงลงจะเป็นปัจจัยหลักที่บั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนและอุปสงค์ภายในประเทศต่อไป
โดยสรุป ท่ามกลางความเสี่ยงข้างต้น ธนาคารแห่งประเทศไทยคงพร้อมที่จะใช้เครื่องมือนโยบายทางการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติม หากมีความจำเป็นในระยะข้างหน้า โดยนโยบายทางการเงินแบบ Unconventional เช่น มาตรการเสริมสภาพคล่อง น่าจะเป็นเครื่องมือหลักที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจนำออกมาใช้เพิ่มเติม ในขณะที่ทางเลือกในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายก็ยังอยู่วิสัยที่สามารถทำได้ แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะยังไม่มีความจำเป็นก็ตาม.