Krungthai เศรษฐกิจไทยปี 2020 อาจหดตัว 8.8%
Krungthai COMPASS มองเศรษฐกิจไทยปีนี้ดิ่งลึก -8.8%แม้ตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกหดตัวต่ำกว่าคาดที่ -1.8%
Krungthai COMPASS ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2020 อาจหดตัวราว 8.8% แม้ว่าไตรมาสแรกจะหดตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาดที่ -3.9% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่มาตรการปิดเมืองของประเทศต่างๆ พึ่งเริ่มต้นในช่วง มี.ค. ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลึกสุดในไตรมาสที่ 2 ที่มีการระบาดรุนแรงที่สุดไปพร้อมกับความเข้มข้นของมาตรการเฝ้าระวังการควบคุมโรค ก่อนที่เศรษฐกิจจะหดตัวน้อยลงในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ตามลำดับ สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มคลี่คลายขึ้น ซึ่งในกรณีนี้คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2021 จะกลับมาขยายตัวได้ที่ 6.1% แต่มูลค่าจีดีพียังคงต่ำกว่าในปี 2019 การหดตัวที่ต่ำกว่าตลาดคาดในไตรมาสแรกทำให้คาดว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% ในการประชุมวันที่ 20 พ.ค. แต่เราคาดว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสสอง เนื่องจากเป็นไตรมาสที่เศรษฐกิจโลก รวมทั้งไทยได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคของประเทศต่างๆ มากที่สุด
จีดีพีไตรมาส 1 ปี 2020 ติดลบ 1.8% จากการลงทุน-บริโภคหดตัว ขณะที่ผลของ COVID-19 ยังไม่ชัดเจนในไตรมาสนี้สภาพัฒน์ฯ รายงานตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2020 อยู่ที่ -1.8%YoY หรือ -2.2%QoQ จากประเด็นหลักๆ 4 ประเด็น
1)ภาคการผลิตหดตัวทั้งในและนอกภาคเกษตร การผลิตภาคเกษตรลดลง 5.7% หดตัวต่อเนื่องตามการลดลงของผลผลิตพืชหลัก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาภัยแล้ง สำหรับการผลิตภาคนอกเกษตรพลิกกลับมาหดตัว 1.4% โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง 1.9% เช่นเดียวกับกลุ่มบริการที่ลดลง 1.1%
2)การลงทุนรวมชะลอลงจากผลของกระบวนการงบประมาณล่าช้า โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลง 5.5% เป็นผลจากการลงทุนด้านการก่อสร้างและเครื่องมือเครื่องจักรที่ลดลง 4.3% และ 5.7% ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐลดลง 9.3% เป็นผลจากการก่อสร้างรัฐบาลที่ได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณประจำปี 2563 ซึ่งส่งผลมายังการลงทุนโดยรวม
3)การบริโภคเอกชนขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 3.0% จากกลุ่มสินค้าคงทน และกลุ่มสินค้ากึ่งคงทนที่ลดลง ขณะที่หมวดสินค้าไม่คงทนและกลุ่มบริการขยายตัวได้ดีที่ 2.8% และ 9.3% ตามลำดับ
4)การส่งออกสินค้าพลิกกลับมาขยายตัว 2% จากมาตรการ WFH จากการระบาดของ COVID-19 ทำให้หลายประเทศใช้มาตรการทำงานที่บ้าน (Work form Home: WFH) ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ากลุ่มยานพาหนะ เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหดตัว เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรที่ลดลงตามการส่งออกข้าวเป็นสำคัญ