Krungthai COMPASS คาดส่งออกปี 63 ติดลบ 8.6%
Krungthai COMPASS ประเมินส่งออกไทยปี 63 ติดลบ 8.6% จากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง คาดเศรษฐกิจไทยปี 63 เจ็บหนักสุดในอาเซียน
Krungthai COMPASS เปิดเผย ว่าแม้สถานการณ์โรค COVID-19 ในไทยดูจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นกว่าหลายๆ ประเทศ แต่จากการรายงานล่าสุดของทั้ง IMF และ World Bank กลับมองสอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเจ็บหนักสุดในอาเซียน ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบที่รุนแรงกว่าทุกประเทศ
เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวและส่งออกสูงถึงเกือบ 70% ตลอดจนการดูดซับแรงงานไปสู่ภาคเกษตรก็ทำได้ยากในช่วงวิกฤตภัยแล้งเช่นนี้ โดย Krungthai COMPASS คาดว่าส่งออกไทยปีนี้จะติดลบ 8.6% เนื่องจากยังต้องเตรียมรับแรงปะทะระลอกใหม่โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของปี 2020 หลังสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นยังคงน่าเป็นห่วง จากจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มนี้มีมากถึง 81.4% ของตัวเลขผู้ติดเชื้อ พร้อมทั้งประเมิน 3 แรงกระเพื่อมหลักจาก COVID-19 ต่อการส่งออกในระยะต่อไป ดังต่อไปนี้
1) ดีมานด์จากจีนชะลอตัวจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าช่วงวิกฤตโรคซาร์ส แม้จีนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดระลอก 2 ยังมีอยู่ ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่เริ่มขยายตัวชะลอลงมาตั้งแต่ปี 2011 ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจไม่รวดเร็วดังเช่นช่วงที่เกิดซาร์สที่จีดีพีจีนขยายตัวสูง
ขณะที่ผลการสำรวจของสภาหอการค้าสหรัฐฯ ในจีน (AmCham China) เดือนล่าสุด ก็ได้ชี้ให้เห็นว่า หากเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นก่อนไตรมาสสุดท้ายของปี จะกระทบรายได้ของภาคธุรกิจในจีนให้ลดลง 10-50% ท่ามกลางความเปราะบางของระบบการเงินและความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น
ล่าสุด เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 1/2020 ติดลบสูงถึง 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยถือเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1976 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากการประกาศใช้มาตรการ Lockdown เมืองสำคัญ สอดคล้องกับ IMF ที่ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีนปีนี้ว่าอาจขยายตัวได้เพียง 1.2% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 6%
2) เศรษฐกิจและการค้าโลกดิ่งลึกจากมาตรการ Lockdown และ Social Distancing
ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายแห่งทั่วโลกทั้งภาคการผลิต การท่องเที่ยว การบริโภคในประเทศรวมถึงการจ้างงานแทบจะเรียกได้ว่า “หยุดกะทันหัน” โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกปี 2020 อาจติดลบถึง 3% (ข้อมูลจาก IMF) และมีโอกาสที่จะดิ่งลึกลงไปอีก หากยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้
ขณะที่รายงานจาก WTO เดือน เม.ย. ก็ได้ประเมินว่า มูลค่าการค้าโลกจะหดตัวมากถึง 13-32% ซึ่งรุนแรงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตการเงินโลกในปี 2009 ที่หดตัว 12.5% และย่อมส่งผลต่อภาพรวมการค้าของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ อุปสงค์น้ำมันดิบที่ลดลง สวนทางกับอุปทานที่พุ่งพรวด ยิ่งทำให้ส่งออกไทยตกที่นั่งลำบาก โดยราคาน้ำมันดิบเข้าสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 20 ปี ทำให้รายได้ของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบเป็นหลักลดลง กระทบไปยังงบประมาณรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งต่อไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่จะชะลอลงตาม โดยสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้ ได้แก่ รถยนต์ อัญมณี สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ไม้ และเครื่องจักรกล เป็นต้น
นอกจากนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลงยังทำให้มูลค่าสินค้าส่งออกไทยที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันอย่างเคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติกก็แนวโน้มหดตัวเช่นกัน
3) COVID-19 ทำให้ภาพ Global Supply Chain ในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไป ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จีนมีบทบาทสำคัญต่อ Global Value Chain ในแง่ “ผู้ผลิตและส่งออกสินค้าขั้นกลางของโลก” โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากในปี 2002 ที่ระดับ 4% เป็น 20% ของมูลค่าการค้าสินค้าขั้นกลางทั่วโลกในปัจจุบัน
ทุกวันนี้ จีนกลายเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ากว่าครึ่งหนึ่งของโลก ผลิตปูนซีเมนต์ได้กว่า 60% ของการผลิตโลก และสามารถผลิตสมาร์ทโฟนได้ถึง 70% ของสมาร์ทโฟนทั้งโลก ทั้งนี้ การอุบัติขึ้นของ COVID-19 ทำให้คลื่นลูกแรกกระทบโรงงานอุตสาหกรรมในอู่ฮั่นของจีน ซึ่งนับรวมถึงเครือข่ายอุตสาหกรรมการผลิตของจีนในอาเซียน
นอกจากนี้ เราอาจเห็น “Trade Protectionism” หรือ การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น เช่น การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าที่เข้มข้นขึ้น การจำกัดการส่งออกสินค้าจำเป็นบางประเภทเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลกลดลงหลังวิกฤต COVID-19 และย่อมเพิ่มอุปสรรคให้ภาคการส่งออกไทยมากยิ่งขึ้น.