KKP กำไรเติบโต 1,484 ล้านบาท ไตรมาส 1 ปี 63
ธนาคารเกียรตินาคิน รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 มีกำไรสุทธิ 1,484 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20.8% จากค่าธรรมเนียมและค่าบริการเพิ่มขึ้น
ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 1,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) (ทุนภัทร) และบริษัทย่อย จำนวน 587 ล้านบาท หากพิจารณากำไรเบ็ดเสร็จรวมจะเท่ากับ 799 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 41.6 โดยในส่วนของธุรกิจตลาดทุนมีผลขาดทุนเบ็ดเสร็จจานวน 26 ล้านบาท โดยกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมได้รวมผลจากการวัดมูลค่าหลักทรัพย์เผื่อขายอันเป็นผลจากความผันผวนของตลาดทุน
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สำหรับไตรมาส 1/2563 มีจำนวน 3,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 484 ล้านบาทหรือร้อยละ 15.9 จากจำนวน 3,055 ล้านบาทในไตรมาส 1/2562 โดยรายได้ดอกเบี้ยมีจานวน 4,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 จากไตรมาส 1/2562 โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อรวมถึงรายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อและสัญญาเช่าการเงินที่เพิ่มขึ้น โดยมาจากการขยายตัวของสินเชื่อและบางส่วนเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงการรับรู้รายได้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 ในส่วนของการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยที่คำนวณตามวิธีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)
รวมถึงการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยจากส่วนที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินเชื่อด้อยคุณภาพ อัตราดอกเบี้ยรับของเงินให้สินเชื่อสำหรับไตรมาส 1/2563 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 7.7 จากร้อยละ 7.2 ในไตรมาส 1/2562 ทั้งนี้ธนาคารได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อลงในไตรมาสที่ 1/2563
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยมีจานวน 1,301 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.1 จากไตรมาส 1/2562 อัตราดอกเบี้ยจ่ายสำหรับไตรมาส 1/2563 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.0 จากร้อยละ 2.3 ในไตรมาส 1/2562 โดยเป็นผลจากการบริหารต้นทุนทางการเงิน ตามการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงตามภาวะตลาด รวมถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการปรับลดอัตรานาส่งเงินสมทบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จากอัตราร้อยละ 0.46 ต่อปีเป็นร้อยละ 0.23 ต่อปี ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ร้อยละ 5.7 ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.9 ในไตรมาส 1/2562
รวมถึงการที่ บล.ภัทร ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดในไตรมาส 1/2563 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10.30 จากร้อยละ 7.32 ในไตรมาส 1/2562 และจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้าขายประกันที่มีจำนวน 261 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 จากไตรมาส 1/2562 ในขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมธุรกิจการจัดการกองทุนมีจำนวน 178 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 6.8 จากไตรมาส 1/2562 ในส่วนของรายได้รวมจากธุรกิจวานิชธนกิจมีจำนวน 167 ล้านบาท.