KBANK เปิดกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 38,727 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทยแจ้งผลประกอบการ ปี 62 กำไร 38,727 ล้านบาทในขณะที่ปี 2561 มีกำไรสุทธิจำนวน 38,459 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 268 ล้านบาท หรือ 0.70%
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2562 ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนนัก โดยภาคการส่งออกยังคงหดตัวลงท่ามกลางผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าและสัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าสหรัฐฯ และจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าระยะที่ 1 และได้ลงนามข้อตกลงดังกล่าวในเดือนมกราคม 2563 ก็ตาม นอกจากนี้บรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนและรัฐบาลก็ยังคงมีทิศทางชะลอตัว ขณะที่แม้การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมีผลช่วยประคองกำลังซื้อในประเทศได้บางส่วนในช่วงปลายปี
ผลการดำเนินงานปี 2562 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 38,727 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2561 มีกำไรสุทธิจำนวน 38,459 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 268 ล้านบาท หรือ 0.70% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 4,150 ล้านบาท หรือ 4.21% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.31% นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 858 ล้านบาท หรือ 1.51% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้สุทธิจากการรับประกันภัยลดลง รวมทั้งการยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัล สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 4,381 ล้านบาท หรือ 6.41% หลัก ๆ เกิดจากกิจกรรมประชาสัมพันธ์สร้างแบรนด์ และกิจกรรมทางการตลาด ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของธนาคาร ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 45.32% ทั้งนี้ ธนาคารมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบเพื่อให้สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 4 ปี 2562 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2562 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 8,802 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนจำนวน 1,149 ล้านบาท หรือ 11.55% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 526 ล้านบาท หรือ 2.02% ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.25% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 385 ล้านบาท หรือ 2.44% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้สุทธิจากการรับประกันภัยลดลง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 3,374 ล้านบาท หรือ 18.95% ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล รวมถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์สร้างแบรนด์ และกิจกรรมทางการตลาด โดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของธนาคาร ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 50.75% นอกจากนี้ ธนาคารมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลงจากไตรมาสก่อน.