SCBTคาดเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.3% ในปีนี้
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ตลอดครึ่งปีหลังของปี 2562 ในขณะที่นโยบายรัฐบาลใหม่และการผ่านงบประมาณปี 2563 เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง
ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ในด้านเศรษฐกิจ เราคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะชะลอตัว รวมทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แม้ว่าการบริโภคภาคเอกชนของไทยจะเข้มแข็ง แต่ไม่น่าจะสามารถทดแทนการลงทุนที่ชะลอตัวและผลกระทบจากสงครามการค้าได้ เรามอง GDP3.3%จาก 4% ตอนแรกเรามองมากกว่าคนอื่น แต่ตอนนี้ ปรับคาดการณ์ ลงมองเรามองเห็นความเสี่ยงในประเทศ เช่น การซื้อรถยนต์ชะลอตัว นี่ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นและปัญหาภัยแล้งอาจจะมาเพิ่มปัญหาในประเทศ
ด้านนอกประเทศ ส่งออกอยู่ที่ประมาณการ 0%ทั้งปีท่องเที่ยวเดือนมิถุนายนติดลบ4% เพราะนักท่องเที่ยวจีนลดลงตอนนี้ยุโรปพรุ่งนี้ไปเที่ยวเวียดนามมากขึ้นเพราะเวียดนามส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างจากประเทศไทยท่องเที่ยว +2% จากเดิม +10%ประเด็นนโยบายภาครัฐบาล เราคาดว่ากระตุ้น 80,000 ถึง 100,000 ล้านบาทในส่วนนโยบายอื่นๆเริ่มจากการกระตุ้น ช่วยภาคการเกษตรเน้นการท่องเที่ยวในประเทศเรามองว่าจะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ภาครัฐบาลจะขึ้น 20%
เรามองว่าถ้าขึ้นแล้วเงินเฟ้อจะกลับมาจริงหรือเปล่าเพราะถ้าเศรษฐกิจยังไม่นิ่งเราไม่แน่ใจว่าถ้ามีต้นทุนเพิ่มจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงหนึ่งครั้งตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2561
เราคาดว่าธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตลอดครึ่งปีหลัง และเริ่มปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2563 หากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและโลกเอื้อ เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน จากดอกเบี้ยในประเทศที่อยู่ในอัตราที่ต่ำมานาน และการที่ดอกเบี้ยไม่ต่ำเกินไป จะสามารถมีพื้นที่ในการลดดอกเบี้ยได้ หากเกิดความจำเป็นในอนาคต ธนาคาสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่า ธปท. จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% หนึ่งครั้งในปี 2563 ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2563 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2.0%.
ในช่วงที่เหลือของปี 2562 ธนาคารกลางทั่วโลกนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย โดยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ (เดือนกรกฎาคมและธันวาคม) จากที่ก่อนหน้านี้คาดว่าจะคงดอกเบี้ย
สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยังคงเป็นที่จับตามอง แม้ว่าจะมีการกลับมาเจรจากันอีกครั้งหลังจากงานประชุม G20 ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังอยู่ภายใต้แรงกดดันตลอดครึ่งปีหลัง (ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 ภาคการส่งออกหดตัว 3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวเพียง 2% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนลดลง 4%)
ค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากกว่าเพื่อนบ้านน่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย ด้วยเหตุนี้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด มองว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะเริ่มมีการหารือถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยบ้าง แต่เสียงส่วนใหญ่ของกนง. น่าจะตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงด้านการค้าก็ตาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (และ ธปท.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตรา 3.3% ในปีนี้ เราคาดว่าธปท. น่าจะใช้เครื่องมืออื่นที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยนโยบายในการดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ประเด็นรัฐบาลชุดใหม่เรามองว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดีในปีหน้าน่าจับตามองรัฐบาลเพราะมีพรรครวมถึง 21 พรรคแต่มีเสียงเกินครึ่งหนึ่งมานิดเดียวเสถียรภาพน่าจับตาในปีหน้าการทดสอบแรกคือการแถลงนโยบายเดือนตุลาคมการผ่านร่างงบประมาณเราต้องรอดูว่าการผ่านร่างยากง่ายขนาดไหน.