CITI BANK วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกช่วงกลางปี 62
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกครึ่งหลังปี 62 คาดการณ์อัตราเติบโตผลกำไรแตะ 4.0% พร้อมแนะลงทุนหลากหลายภูมิภาค
ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยผลการวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกช่วงกลางปี 62 ชี้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวเล็กน้อยสู่ระดับการขยายตัว 2.9% จาก 3.2% ในปี 61 โดยคาดการณ์อัตราเติบโตของผลกำไรทั่วโลกสิ้นปี 62 ที่ 4.0 % ต่ำกว่าระดับประมาณการในครั้งก่อนเล็กน้อย ด้วยปัจจัยสถานการณ์การคลังของบางภูมิภาค ความไม่แน่นอนด้านภูมิศาสตร์การเมือง รวมถึงปัจจัยสำคัญอย่างความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่จะมีสัญญาณบวกและไต่ระดับขึ้นที่ 11.0% ในปี 63 ด้านค่าเงินสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในภาพรวม ขณะที่ค่าเงินบาทไทยมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับแข็งค่าในระยะปานกลาง ซึ่งคาดว่าโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบ 31.20 – 31.50 ไปจนถึงช่วงกลางปี 63
ด้านนักกลยุทธ์ซิตี้ แนะนักลงทุนให้น้ำหนักในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย เช่น ตราสารทุนในหุ้นวัฏจักรกลุ่มการสื่อสาร สุขภาพ และวัสดุการผลิต ตราสารหนี้ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงตราสารหนี้เอกชนสหรัฐฯ ระดับน่าลงทุน (US Investment Grade) ตลอดจนกระจายพอร์ตการลงทุนในกองทุนผสมที่มีการลงทุนในทองคำ และน้ำมัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ในระยะยาว ท่ามกลางสภาวะผันผวน นอกจากนี้ควรเฝ้าติดตามประเด็นสำคัญ อาทิ ความไม่แน่นอนด้านการเมืองในแต่ละภูมิภาค สงครามการค้า และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงตึงเครียด การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน และการปรับตัวของค่าเงินทั่วโลก
ทั้งนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้จัดงาน “Mid-2019 Outlook” แถลงข้อมูลทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนช่วงกลางปี 2562 เมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย หรือ www.citibank.co.th
นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มชะลอตัวลงสู่ระดับการขยายตัว 2.9% จาก 3.2% ในปี 2561 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสชะลอลงเล็กน้อยจาก 2.7% ในปี 2561 มาอยู่ที่ 2.4% อันเป็นผลจากสถานการณ์การคลังของแต่ละภูมิภาค ความไม่แน่นอนด้านการเมือง รวมถึงปัจจัยสำคัญอย่างความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทั้งนี้สำหรับเศรษฐกิจระดับภูมิภาคคาดว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มเติบโต 4.3% ในปี 2562 ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 4.6% ในปี 2563 ในทางกลับกัน ด้านตลาดพัฒนาแล้วมีแนวโน้มการเติบโตชะลอตัวลงเล็กน้อยแตะระดับ 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ จากผลกระทบของนโยบายระหว่างประเทศความตึงเครียดทางการค้าของประเทศยักษ์ใหญ่ การชะลอตัวของตลาดแรงงาน และราคาสาธารณูปโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น
สำหรับค่าเงินยังคงมีความผันผวนสูง และต้องจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเนื่องจากผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทยอยหมดลง ตลอดจนการส่งสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเมื่อจำเป็น ทำให้ค่าเงินสกุลอื่นมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ ได้แก่ เยนญี่ปุ่น (JPY) หยวนจีน (CNY) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) รวมถึงเงินบาท ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายปี 2562 คาดว่า FED จะยังคงอัตราดอกเบี้ยจนถึงช่วงกลางปี 2563 ซึ่งเปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์เมื่อต้นปีว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) และญี่ปุ่น (BoJ) ที่จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0% และ -0.1% ตามลำดับ ไปจนถึงช่วงกลางปี 2563
ด้านเศรษฐกิจไทย ธนาคารฯ ได้ปรับลดประมาณการเติบโตมาอยู่ที่ 3.3% ในปี 2562 โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจส่วนหนึ่ง มาจากการชะลอการลงทุนภาคไตรมาสที่ 1 โดยคาดว่าปี 2563 มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 3.7% ในครึ่งปีหลัง 2562 คาดการณ์ว่าการส่งออก และการท่องเที่ยว ยังมีโอกาสขยายตัวในระดับที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินบาทไทย มีแนวโน้มอยู่ในระดับที่แข็งค่าไปจนถึงช่วงต้นปี 2563 โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบ 31.20 – 31.50 และยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ระดับค่าเงินบาทปัจจุบัน ที่แข็งค่าอยู่ในระดับ 30.60 – 30.70 ที่ได้รับอานิสงส์ส่วนหนึ่งมาจากเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น จะคงอยู่ได้นานหรือไม่ ทั้งนี้เพราะรายได้จากต่างประเทศจากการส่งออก และการท่องเที่ยวยังไม่ได้ดีขึ้นชัดเจน