KTAM จ่ายปันผล 3 กองทุนอสังหา-อินเดีย
ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุนของบริษัท มีมติพิจารณาจ่ายเงินปันผล 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ ( KT-PROPERTY ) กองทุนเปิดกรุงไทย พร็อพเพอร์ตี้ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล –D ( KT-PIF-D ) และกองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ ( KT-INDIA-D ) จากผลการดำเนินงานสิ้นสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2562
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่ากองทุน KT-PROPERTY จ่ายเงินปันผลครั้งที่ 2/2562 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Janus Henderson Horizon Global Property Equities โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ทั้งนี้ กองทุนหลักบริหารแบบเชิงรุก เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัท หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) โดยมีรายได้หลักจากการเป็นเจ้าของ บริหารจัดการ และ/หรือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก อีกทั้งคาดหวังผลตอบแทนจากการปรับตัวขึ้นของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเหล่านั้นถือครองอยู่ด้วย ปัจจุบัน กองทุนหลักเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีกำไร เงินปันผลเติบโต และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินทรัพย์ งบดุล และทีมบริหาร หลักทรัพย์กลุ่มอสังหาฯในตลาดพัฒนาแล้วหลายแห่ง ยังมีราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ แม้ปรับตัวขึ้นมาพอสมควร เนื่องจากดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield) ปรับตัวลงมามากในปีนี้
โดยผลตอบแทนของกองทุนย้อนหลัง ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2562 YTD (2ม.ค.-21มิ.ย.62) อยู่ที่ 19.63% 6 เดือน อยู่ที่ 17.65% 1 ปีอยู่ที่ 10.41% และ3 ปี อยู่ที่ 6.20% เทียบกับ Benchmark YTD อยู่ที่ 11.51% 6 เดือน10.06% 1 ปี 3.45% และ3ปี 1.10% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ในเดือนกันยายน 2554 จ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 10 ครั้ง คิดเป็นเงิน 4.85 บาทต่อหน่วย
ส่วนกองทุน KT-INDIA-D จ่ายเงินปันผลครั้งที่ 1/2562 ในอัตรา 0.65 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Invesco India Equity Fund โดยกองทุนรวมหลัก มีนโยบายลงทุนในหุ้นอินเดีย บริหารแบบเชิงรุกคัดหุ้นที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ณ ราคาที่เหมาะสม อินเดียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก ด้วยหลากหลายปัจจัยขับเคลื่อนในระยะยาว อาทิ โครงสร้างประชากรอายุเฉลี่ยน้อย การปฏิรูปหลายด้านรวมถึง ภาคการเงิน และ ดิจิตอล การบริโภคขยายตัว เป็นต้น นอกจากนี้ หุ้นอินเดีย มีความน่าสนใจในแง่การกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะท่ามกลางบรรยากาศของสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน เพราะเศรษฐกิจอินเดียพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และมีความเชื่อมโยงกับจีนค่อนข้างน้อยกว่าประเทศเอเชียอื่นๆ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ทำให้ ตลาดหุ้นอินเดีย ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่นๆในช่วงปีที่ผ่านมา
โดยผลตอบแทนของกองทุนย้อนหลัง ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2562 YTD อยู่ที่ 4.40% 6 เดือนอยู่ที่ 4.66% 1 ปี อยู่ที่ -5.91% และ 3 ปี อยู่ที่ 7.49% เทียบกับ Benchmark YTD อยู่ที่ 1.92% 6 เดือน 2.12% 1ปี -0.67% และ3 ปี 5.87% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในเดือนกรกฎาคม 2559 จ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 5 ครั้ง คิดเป็นเงิน 3.10 บาทต่อหน่วย ผลตอบแทนย้อนหลัง ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2562 YTD อยู่ที่ 4.87% 6 เดือน 4.86% และ1 ปี 4.93% เทียบกับ Benchmark YTD อยู่ที่ 5.59% 6 เดือน 5.55% และ1 ปี 5.32% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ในเดือนกรกฎาคม 2559 จ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 8 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1.97 บาทต่อหน่วย
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยัน ถึงผลการดำเนินงานในอนาคต