ธปท. เผยสินเชื่อปี67 หดตัวสูงสุดรอบ 15 ปี

น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ในปี 2567 ภาพรวมสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ หดตัว 0.4% ถือเป็นการติดลบสูงสุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 และเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากปี 2566 ที่สินเชื่อหดตัว 0.3%
โดยสินเชื่อธุรกิจขยายตัว 0.5% มาจากสินเชื่อรายใหญ่ที่ขยายตัว 2% หากรวมสินเชื่อภาครัฐจะขยายตัว 3.4% ซึ่งมาจากธุรกิจหันมาขอสินเชื่อผ่านธนาคารมากขึ้น สะท้อนจากการระดมทุนผ่านตลาด -2.5% ติดต่อกัน 3 ไตรมาส และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี -5.0% จากเดิม -5.7%
ขณะที่ ภาพรวมสินเชื่อรายย่อยหดตัวทุกประเภทสินเชื่ออยู่ที่ -1.9% โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อในไตรมาสที่ 4/67 ที่หดตัว -9.9% เป็นการหดตัวต่อเนื่องกัน 4 ไตรมาส ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เพราะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่า ธปท.จะเห็นสัญญาณการยึดรถเข้าลานประมูลน้อยลง ทำให้ราคารถมือสองกลับมาปรับดีขึ้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่ ธปท.ต้องจับตาดูอยู่
“ภาพรวมสินเชื่อที่หายไป และหดตัว ส่วนหนึ่งมาจากธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เพราะจากเครดิตผู้กู้ และความต้องการสินเชื่อของธุรกิจที่ไม่ได้ลงทุน แต่ภายหลังจากที่เราวางโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Open Data หรือการค้ำประกันรูปแบบใหม่ น่าจะช่วยเรื่องสินเชื่อได้” น.ส.สุวรรณี ระบุ
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปี 2567 ปรับลดลงทั้งปริมาณ และสัดส่วน โดยปริมาณหนี้เสียอยู่ที่ 550,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.78% ลดลงจากไตรมาสที่ 3/67 ซึ่งอยู่ที่ 530,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.97% หรือเป็นหนี้เสียที่ปรับลดลงราว 20,000 ล้านบาท ถือเป็นการปรับลดลงในรอบหลายไตรมาส ยกเว้นสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ NPL ปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.82% เป็น 3.88% อย่างไรก็ดี คาดว่า “มาตรการคุณสู้ เราช่วย” จะทำให้หนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับดีขึ้นในรอบไตรมาสถัดไป
โดย NPL สินเชื่อธุรกิจ ปรับลดลงจาก 3.24% ในไตรมาสที่ 3/67 มาอยู่ที่ 3.20% ในไตรมาสที่ 4/67 สินเชื่อเอสเอ็มอีปรับลดลงจาก 7.01% มาอยู่ที่ 6.92% สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ลดลงจาก 1.18% มาอยู่ที่ 1.00% และสินเชื่อธุรกิจรายย่อยจาก ลดลงจาก 3.24% มาอยู่ที่ 3.20% โดยเช่าซื้อ ลดลงจาก 2.34% อยู่ที่ 2.17% และบัตรเครดิต ปรับลดลงจาก 3.65% เหลือ 3.12% เป็นผลมาจากการคงมาตรการชำระขั้นต่ำ (Minimum Payment)
“การปรับลดลงของหนี้ NPL ส่วนใหญ่ จะมาจากการปลดการจัดชั้นหนี้เสียของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อ SME และรายย่อย ที่เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านมาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ที่ลูกค้าสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข และถูกขยับชั้นจาก Stage 3 เป็นสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Stage 2) เพิ่มขึ้นมาอยู่ 6.98% โดยปัจจุบัน ตัวเลขปรับโครงสร้างหนี้สะสมอยู่ที่ 7.18 ล้านบัญชี และคิดเป็นมูลหนี้อยู่ที่ 2.66 ล้านล้านบาท
สำหรับมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ข้อมูลล่าสุด ณ 16 ก.พ. 68 มีผู้ลงทะเบียน 820,000 ราย หรือคิดเป็น 990,000 บัญชี ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูล ณ วันที่ 31 ม.ค.68 พบว่ามีผู้ลงทะเบียนอยู่ที่ 630,000 ราย แต่มีผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเพียง 240,000 ราย คิดเป็นสัดส่วน 38% ของผู้ลงทะเบียน ถือว่าค่อนข้างน้อย โดยมาจาก 3 ส่วนหลัก 1.ลงทะเบียนผิดเจ้าหนี้ 2.ผู้ลงทะเบียนเป็นลูกหนี้ที่ดี ไม่ได้ค้างชำระหนี้ 3.ลูกหนี้มียอดวงเงินเกินกำหนด และ 4.ลูกหนี้ปิดบัญชีไปแล้ว
ส่วนการขยายโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non bank) มีผู้ร่วมโครงการ 2 ราย ซึ่งปัจจุบันก็มีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วม แต่จะต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติของธนาคารออมสิน เนื่องจากเป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) ให้ Non bank จึงต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ธปท. ยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด