เงินบาทแข็งค่าสูงสุดรอบ 4 เดือน

เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือนที่ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาทยอยอ่อนค่าลงช่วงปลายสัปดาห์
เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามภาพรวมของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ หลังจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด เริ่มสะท้อนท่าทียอมรับว่า วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ อาจจะสิ้นสุดไปแล้ว
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยกดดันจากการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าที่คาดด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เงินบาทอ่อนค่ากลับมาบางส่วน หลัง กนง. มีการปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2566-2567 ลงมาในการประชุมวันที่ 29 พ.ย. ประกอบกับมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการกลับมาขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย หลังเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายส่งสัญญาณว่า เฟดยังไม่มีการพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีหน้า
ในวันศุกร์ที่ 1 ธ.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.09 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 35.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (24 พ.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 27 พ.ย.-1 ธ.ค. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5,912.2 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 4,508.9 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 4,505.4 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 3.5 ล้านบาท)
สัปดาห์ถัดไป (4-8 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ของไทย รวมถึงสัญญาณเงินทุนต่างชาติ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค. ดัชนี ISM/PMI ภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคบริการเดือนพ.ย. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย. ของจีนด้วยเช่นกัน