ปัญหาแบงก์ในสหรัฐฯ ล้ม กระทบไทยจำกัด
เป็นที่แน่นอนว่า ปัญหาของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ รอบนี้ไม่มีสถานการณ์ Too Big to Fail เกิดขึ้น เพราะมีการปิดตัวลงจริงของสถาบันการเงินที่เผชิญปัญหา ขณะหน่วยงานของทางการสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ เร่งออกมาตรการมุ่งเป้าดูแลในส่วนของผู้ฝากเงินและสถาบันการเงินอื่นๆ ที่ยังดำเนินการอยู่เพื่อสกัดไม่ให้ผลกระทบขยายวงจนกลายเป็นชนวนให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ยังคงต้องติดตามพัฒนาการของปัญหาแบงก์ในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพราะดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และมาตรการของทางการครั้งนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนความสามารถในการทำกำไรของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง
สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลทางอ้อมน่าจะส่งผ่านมาทางความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุน ขณะที่ผลทางตรงน่าจะค่อนข้างจำกัด เพราะคาดว่าแบงก์ไทยน่าจะมี Exposure ทางตรงกับแบงก์สหรัฐฯ ที่ประสบปัญหาน้อยมาก หรือไม่มีเลย ประกอบกับโครงสร้างพอร์ตสินทรัพย์และเงินฝากของแบงก์ไทยมีการกระจายตัว และมีการทยอยปรับกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้เพื่อลดผลกระทบจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นตั้งแต่ในปี 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ แบงก์ไทยมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงเกินเกณฑ์ และมีอัตราส่วนเงินกองทุนฯ ที่สูงและเข้มแข็งกว่าแบงก์ในสหรัฐฯ โดยเฉลี่ย
ทางการสหรัฐฯ ใช้มาตรการเด็ดขาด…เพราะมองว่า ปัญหาการแห่ถอนเงินจากแบงก์รอบนี้ไม่ใช่ปัญหาเล็ก เพราะอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบได้
ธนาคารพาณิชย์ 2 แห่งในสหรัฐฯ ถูกสั่งการให้ปิดตัวลง หลังจากที่ต้องรับมือกับสถานการณ์การแห่ถอนเงินท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้ฝากเงินเพียงช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา (Silicon Valley Bank ปิดตัวลงในวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. 2566 และตามมาด้วย Signature Bank ในวันอาทิตย์ที่ 12 มี.ค. 2566) อย่างไรก็ดี ทางการสหรัฐฯ (กระทรวงการคลัง ธนาคารกลางสหรัฐฯ หน่วยงานกำกับดูแล และบรรษัทประกันเงินฝาก หรือ FDIC) เร่งออกหลายมาตรการเพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่น สกัดความเสี่ยงเชิงระบบของภาคธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ และเข้าดูแลกลุ่มผู้ฝากเงินและบรรเทาแรงกดดันต่อสถาบันการเงินอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นที่แน่นอนว่า รอบนี้ไม่มีสถานการณ์ Too Big to Fail เกิดขึ้น เพราะมีการปิดตัวลงจริงของสถาบันการเงินที่เผชิญปัญหา และไม่มีการใช้เงินของประชาชนผู้เสียภาษีของสหรัฐฯ ไปอุ้มสถาบันการเงิน เจ้าหนี้ และผู้ถือหุ้น ซึ่งหลังจากนี้คงต้องมีการประเมินความสูญเสียและกระจายความรับผิดชอบต่อไป ทั้งนี้ มาตรการที่ทางการสหรัฐฯ ผลักดันออกมาเน้นไปที่การดูแลผู้ฝากเงิน และสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเหตุการณ์รอบนี้
มาตรการดูแลผู้ฝากเงิน…คลายข้อจำกัดด้านการคุ้มครอง โดยทางการสหรัฐฯ มองว่า ปัญหาของ Silicon Valley Bank และ Signature Bank สามารถเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบได้ เลยให้ผู้ฝากเงินทุกรายสามารถเข้าถึงเงินฝากของตัวเองได้นับตั้งแต่วันจันทร์ 13 มี.ค. 2566 ทั้งในส่วนของเงินฝากที่อยู่กับ Silicon Valley Bank และ Signature Bank เพื่อประคองความเชื่อมั่น โดยในส่วนนี้จะเงินจากกองทุนคุ้มครองผู้ฝากเงินที่ดำเนินการโดยFDIC
มาตรการจากธนาคารกลางสหรัฐฯ…ผ่อนปรนเกณฑ์เพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงิน โดยมาตรการที่ดำเนินการโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมี 2 ส่วนที่เป็นตัวหลัก ได้แก่
ตั้ง Bank Term Funding Program (BTFP) เพื่อทำการปล่อยเงินกู้แบบมีหลักประกันอายุไม่เกิน 1 ปีให้กับธนาคาร และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่เผชิญปัญหาด้านสภาพคล่อง และ/หรือจากเงินฝากไหลออก ทั้งนี้ จุดที่สำคัญของโปรแกรมความช่วยเหลือนี้ คือ จะมีการคำนวณมูลค่าหลักประกันตามราคาพาร์ (ซึ่งจะลดปัญหา Mark-to-Market Loss ตามราคาตลาดในช่วงที่ดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น) โดยหลักประกันที่ใช้ในการค้ำประกันการกู้เงินจากเฟดนี้ จะต้องเป็นหลักประกันที่มีคุณภาพสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตราสารหนี้ และตราสารที่หนุนหลังด้วยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ออกโดยหน่วยงานทางการสหรัฐฯ
อาจจะมีการปรับลดเงื่อนไขของ Discount Window ซึ่งเป็นช่องทางการกู้เงินของสถาบันการเงินจากเฟด อย่างไรก็ดีการกู้ผ่าน Discount Window จะมีระยะเวลาประมาณ 90 วันซึ่งสั้นกว่าโครงการ BTFP ที่ตั้งขึ้นมาใหม่
ทั้งนี้ แม้จะมีมาตรการจากทางการสหรัฐฯ ออกมาเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน สกัดความเสี่ยงเชิงระบบ และดูแลความเพียงพอด้านสภาพคล่องของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ยังคงต้องติดตามความชัดเจนว่าปัญหาแบงก์สหรัฐฯ ในรอบนี้จะลงลึกแค่ไหน และสถานการณ์ในระยะข้างหน้าจะเป็นอย่างไรอย่างใกล้ชิด เพราะมาตรการของทางการดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนความสามารถในการทำกำไรของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง และไม่สามารถรับประกันได้โดยสมบูรณ์ว่าจะไม่มีสถาบันการเงินไหนที่สะท้อนความอ่อนแอออกมาอีกท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น
ผลกระทบต่อไทย…อาจต้องระวังความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุน ขณะที่ผลกระทบโดยตรงต่อแบงก์ไทยน่าจะจำกัด
สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น แม้จะมีในบางมิติ แต่เหตุการณ์คงไม่เดินตามกรณีแบงก์สหรัฐฯ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองผลกระทบต่อไทยจากเหตุการณ์ความปั่นป่วนของแบงก์ในสหรัฐฯ ดังนี้
ความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุน ซึ่งคงปรากฏขึ้นในช่วงระหว่างทางที่ตลาดรอติดตามความชัดเจนและพัฒนาการของสถานการณ์ในระบบแบงก์ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของการเรียกคืนความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน (หลังจากที่ทางการสหรัฐฯ มีการออกมาตรการมาแล้วในระดับหนึ่ง) เพื่อประเมินท่าทีเชิงนโยบายของเฟดในระยะถัดไป ว่าจะสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องจนไปใกล้ระดับ 6.00% ดังที่ตลาดการเงินทยอยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ นั่นหมายความว่า ค่าเงินบาทอาจยังแกว่งตัวในกรอบผันผวน (ซึ่งนับจากต้นปีที่ผ่านมา มีระดับความผันผวนสูงถึง 11-12%) เช่นเดียวกับแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยที่ยังอาจเผชิญความเสี่ยงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ สวนทางกับแรงหนุนต่อสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เช่น ทองคำ ในกรณีที่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง นอกจากนี้ หากประเด็นความไม่แน่นอนในภาคการเงินการธนาคารและการชะลอตัวของตลาดบ้านของสหรัฐฯ ทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบระมัดระวังและลดท่าทีที่แข็งกร้าวลงมา ก็อาจทำให้เงินบาทผันผวนในกรอบที่แข็งค่าขึ้นได้
ผลต่อระบบแบงก์ไทย…ผลกระทบทางตรงจากแบงก์ทั้ง 2 แห่งที่ปิดตัวลงมีจำกัด
ผลกระทบทางตรงจำกัด เนื่องจากคาดว่า แบงก์ไทยน่าจะมีความเชื่อมโยง และ Exposure โดยตรงกับแบงก์สหรัฐฯ ทั้ง 2 แห่งที่ประสบปัญหาน้อยมาก หรือไม่มีเลย
อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่นิ่ง ทำให้ยังคงต้องติดตามความชัดเจนของประเด็นต่างๆ ในช่วงหลังจากนี้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยังมีผลกระทบในส่วนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้บ้างท่ามกลางสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อาทิ ผลกระทบจากการบันทึกผลขาดทุนจากการถือครองตราสารหนี้ตามราคาตลาด (Mark-to-Market) ในจังหวะที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ทยอยปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นกับนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก ยกตัวอย่างในปี 2565 ที่ผ่านมา แม้จะมีรายการบันทึกผลขาดทุนจากการถือครองตราสารหนี้เมื่อคำนวณตามราคาตลาด (MTM losses) กระนั้นก็ดี เพื่อรับมือกับทิศทางดังกล่าว แบงก์ในไทยก็มีการปรับกลยุทธ์การถือครองตราสารหนี้ให้มีอายุเฉลี่ยของตราสารลดลง (Shorten Duration) และ/หรือปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและทิศทางตลาดเงินตลาดทุนมากขึ้น (เพื่อจำกัดผลกระทบจากการ Mark-to-Market)
สถานะของแบงก์ไทยมีความมั่นคงกว่าในหลายมิติ ทั้งเรื่องสภาพคล่อง และความเข้มแข็งของเงินกองทุน ดังจะเห็นได้จากอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ของไทยที่อยู่ในระดับสูงเกินเกณฑ์ และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (% CAR) ของไทยที่สูงกว่าสหรัฐฯ โดยสัดส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง (% LCR) ของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ ณ เดือนม.ค. 2566 อยู่ที่ 189.49% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนด ขณะที่เงินกองทุนของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศก็อยู่ในระดับที่เข้มแข็งเช่นกัน โดยสัดส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นอยู่ที่ 18.98% สัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 15.93% และสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของอยู่ที่ 15.39% ซึ่งสูงกว่าสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นอยู่ที่ 15.16% สัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 13.69% และสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของอยู่ที่ 12.37%
โครงสร้างสินทรัพย์และเงินฝากของระบบแบงก์ไทยมีการกระจุกตัวน้อยกว่าแบงก์สหรัฐฯ ที่ประสบปัญหา โดยในกรณีของ Silicon Valley Bank ในสหรัฐฯ นั้น มีโครงสร้างฝั่งสินทรัพย์ในลักษณะที่มีสัดส่วนสินเชื่อน้อยกว่าพอร์ตเงินลงทุน (สินเชื่อสุทธิมีสัดส่วน 35%ของสินทรัพย์รวม ขณะที่พอร์ตเงินลงทุนในตราสารหนี้มีสัดส่วนสูงถึง 55% ของสินทรัพย์รวม) ขณะที่เงินฝากค่อนข้างกระจุกตัว เพราะมีที่มาจากลุ่มลูกค้าบริษัทเทคฯ VC และ Startups เป็นหลัก ซึ่งสำหรับกรณีของระบบแบงก์ไทยจะตรงข้ามกัน โดยที่พอร์ตสินเชื่อสุทธิมีสัดส่วน 64% ของสินทรัพย์รวม และเป็นพอร์ตที่มีการกระจายตัวระหว่างสินเชื่อรายใหญ่ เอสเอ็มอี และรายย่อย ในอัตราส่วน 35.8%, 23.5% และ 40.7% ของสินเชื่อทั้งระบบ (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ตามลำดับ อันถือว่าเป็นการกระจายตัวที่ดีกว่ากรณีแบงก์สหรัฐฯ ขณะที่ พอร์ตเงินลงทุนสุทธิรวมทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนมีสัดส่วนประมาณ11.7% ของสินทรัพย์รวม จากโครงสร้างพอร์ตสินทรัพย์ของแบงก์ไทยที่กระจายตัวและสมดุลกว่าทำให้สามารถสร้างกระแสรายรับที่มีความต่อเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อ และบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนฝั่งหนี้สิน โดยเฉพาะเงินฝากนั้น มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยเงินฝากรายย่อย ธุรกิจ ภาครัฐ[1] สถาบันที่ไม่แสวงหากำไร และอื่นๆ ในอัตราส่วน 55.3%, 26.7%, 7.4% 2.7% และ 6.3%ของยอดรวมเงินฝาก ตามลำดับ ซึ่งมีความสมดุลมากกว่ากรณีของ Silicon Valley Bank มาก และตามธรรมชาติของผู้ฝากเงินจะเน้นความมั่นคง มากกว่าการหาผลตอบแทน ดังนั้น เมื่อประกอบกับความมั่นคงในระดับสูงของแบงก์ไทย การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม และการกำกับดูแลที่ใกล้ชิดของทางการไทยร่วมด้วย จึงทำให้ความเสี่ยงจากการถูกถอนออก น่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าแบงก์สหรัฐฯ ที่ประสบปัญหามาก
การลงทุนใน Startups ของแบงก์ไทย จะดำเนินการผ่าน Venture Capital ที่จัดตั้งขึ้นอีกทั้งมีวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีหรือธุรกิจใหม่ๆ ที่เกื้อกูลต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแบงก์ในอนาคต มากกว่าจะเน้นมิติของการลงทุนเพื่อทำกำไร อีกทั้งอยู่ภายใต้เกณฑ์การกำกับดูแลโครงสร้างและขอบเขตธุรกิจของกลุ่มธุรกิจการเงินโดย ธปท. ดังนั้น จึงทำให้น่าจะตีกรอบผลกระทบจากเหตุไม่คาดคิดได้ในอนาคต
โดยสรุป แม้กรณีปัญหาความอ่อนแอของแบงก์ในสหรัฐฯ (Silicon Valley Bank และ Signature Bank) น่าจะไม่ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบในเวลานี้ ท่ามกลางความพยายามของทางการสหรัฐฯ ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน รวมถึงปัญหาของทั้ง 2 แบงก์มีต้นตอมาจากความไม่สมดุลในโครงสร้างในพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สิน (Silicon Valley Bankเน้นกลุ่มลูกค้าเทคฯ Venture Capital และ Startups ขณะที่ Signature Bank เน้นให้บริการกับบริษัทที่ทำธุรกิจ Cryptocurrency) แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องถือว่าปัญหานี้ยังไม่สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ และมีประเด็นให้ติดตาม โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้น นอกจากนี้ เชื่อว่า ทางการสหรัฐฯ และตลาดคงจะทยอยติดตามสถานการณ์ของสถาบันการเงินอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุเปราะบางที่คล้ายคลึงกันขึ้นอีกในอนาคต สำหรับไทย ผลกระทบจะปรากฏทางอ้อมผ่านความผันผวนของตลาดการเงินมากกว่า ขณะที่ผลกระทบทางตรงจากแบงก์สหรัฐฯ ที่เผชิญปัญหาทั้ง 2 แห่งยังจำกัด นอกจากนี้ด้วยความที่แบงก์ไทยมีสถานะสภาพคล่องและความมั่นคงของเงินกองทุนที่มั่นคง รวมถึงมีการกระจายตัวของโครงสร้างสินทรัพย์และโครงสร้างเงินฝากที่ดีกว่า อีกทั้งพฤติกรรมลูกค้าแตกต่างจากสหรัฐฯ และที่สำคัญ ยังมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดและใกล้ชิดโดย ธปท. ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าแบงก์ไทยจะไม่เกิดเหตุการณ์ดังในกรณีสหรัฐ