กสิกรไทยเดินหน้า “หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ ขององค์การสหประชาชาติ”
กสิกรไทยเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจบน “หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ ขององค์การสหประชาชาติ” ที่กำลังเข้าสู่ปีที่ 3 ร่วมกับธนาคารกว่า 240 แห่ง สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ยั่งยืนให้โลก
ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารพาณิชย์สัญชาติไทยแห่งแรกและแห่งเดียว เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 3 ของ “หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ ขององค์การสหประชาติ” (UN Principles for Responsible Banking) สอดรับกับยุทธศาสตร์ธนาคารแห่งความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กับธนาคารกว่า 240 แห่งทั่วโลก ใช้เครื่องมือของยูเอ็นวิเคราะห์ วางโรดแมปไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต ขณะเดียวกันยังเพิ่มการสนับสนุน “สินเชื่อสีเขียว” ในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และละเว้นการสนับสนุนสินเชื่อให้แก่โรงไฟฟ้าถ่านหินที่เกิดใหม่ ยกเว้นโรงไฟฟ้ามีการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานเป็นแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ และทยอยลดเงินกู้ปัจจุบันในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่แล้วให้เป็นศูนย์ภายในปี 2573 มุ่งหวังร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ส่งมอบโลกที่ยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เนื่องจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกธุรกิจ ทุกองค์กรและทุกคนบนโลกต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อช่วยบรรเทาและลดปัญหาที่นำไปสู่การแปรปรวนของภูมิอากาศโลก หรือ ภาวะโลกรวน ดังนั้นธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารพาณิชย์สัญชาติไทยแห่งแรกและแห่งเดียว จึงได้ร่วมกับธนาคารกว่า 240 แห่ง ใน 69 ประเทศ มีสินทรัพย์รวมคิดเป็น 40% ของมูลค่าสินทรัพย์ธุรกิจธนาคารทั่วโลก ที่ได้ลงนามใน “หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ ขององค์การสหประชาชาติ” (UN Principles for Responsible Banking: UN PRB) ของสำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการเงิน (United Nations Environmental Program Finance Initiative: UNEP FI) ซึ่งเปิดตัวโครงการเมื่อเดือนกันยายน 2562 และธนาคารลงนามรับหลักการในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 โดยในปีนี้โครงการ UN PRB กำลังเดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 3 อย่างเข้มข้น
บทบาทที่ธนาคารกสิกรไทยดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และสอดคล้องกับ “หลักการธนาคารที่รับผิดชอบแห่งสหประชาชาติ” คือ การดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน แม้ท่ามกลางความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance factors: ESG) ควบคู่กับการดูแลลูกค้าให้ผ่านพ้นวิกฤติและสามารถเดินหน้าในการทำธุรกิจและดำเนินชีวิตต่อไปได้ในภาวะปกติใหม่ (New Normal) และสนับสนุนลูกค้าให้เปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำหรือมุ่งสู่ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยในการดำเนินงานทั้งหมดนี้ ธนาคารสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมาอย่างต่อเนื่องและสื่อสารด้วยความโปร่งใส
นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับธนาคารอื่น ๆ ที่ลงนาม UN PRB จากทั่วโลก (Signatory Banks) รวมทั้งการนำเครื่องมือของ UNEP FI วิเคราะห์พอร์ตสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ และกำหนดเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่ตอบสนองวาระด้านความยั่งยืนของโลกเรื่องลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Reducing the Impact of Climate Change) ได้แก่ ส่งเสริมธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการปล่อยสินเชื่อพลังงานทดแทนให้ได้ 15% ของส่วนแบ่งการตลาดด้านกำลังการผลิต (เมกะวัตต์) และการปล่อยกู้อาคารประหยัดพลังงานให้ได้ 10% ของพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ ภายในปี 2568 และละเว้นการสนับสนุนสินเชื่อให้แก่โรงไฟฟ้าถ่านหินที่เกิดใหม่ ยกเว้นโรงไฟฟ้ามีการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานเป็นแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ และทยอยลดเงินกู้ปัจจุบันในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่แล้วให้เป็นศูนย์ภายในปี 2573 เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายธนาคารในการสร้าง “สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์”
นางสาวขัตติยา กล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจบน “หลักการธนาคารที่รับผิดชอบ ขององค์การสหประชาชาติ” ที่กำลังเข้าสู่ปีที่ 3 ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธนาคารบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน ในวาระเร่งด่วนเรื่องลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การสร้างความพร้อมของบุคลากร หล่อหลอมในกระบวนการทำงานจนเกิดเป็นกรีน ดีเอ็นเอ ควบคู่กับการวางโครงสร้างด้านฐานข้อมูล ESG ที่จะวิเคราะห์สถานะของธุรกิจธนาคารในมิติความยั่งยืนได้แม่นยำ ทำให้ตั้งเป้าหมายและสร้างผลลัพธ์ได้ตรงจุด เป็นแบบอย่างองค์กรที่ดีมีธรรมาภิบาล รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก บรรเทาภาวะโลกรวน และส่งมอบโลกที่สมดุลและยั่งยืนให้แก่คนรุ่นต่อไป