EXIM BANK อุ้มผู้ส่งออก ดันเม็ดเงินธุรกิจพุ่งเฉียด 9 หมื่นล.
EXIM BANK โชว์ความเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย เน้นช่วยเหลือผู้ส่งออกและธุรกิจไทยมากกว่าฟันกำไร เผย! ครึ่งแรกปี’64 ช่วยเหลือผู้ประกอบการช่วงโควิดฯไปแล้ว 9.4 พันราย เม็ดเงินกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างพุ่ง 1.37 แสนล้าน โต 8.62% ก่อเกิดปริมาณธุรกิจ 8.78 หมื่นล้านบาท ชี้!กว่า 35% เป็นกลุ่ม SMEs
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กก.ผจก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปี 2564 ว่า ธนาคารฯขยายบทบาทมากขึ้น ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินเพื่อประคับประคองและส่งเสริมธุรกิจส่งออก ลงทุน และที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
ทั้งนี้ มีสินเชื่อคงค้าง 137,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,908 ล้านบาท หรือ 8.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 33,772 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 103,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 14.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการให้สินเชื่อทั้งหมดของธนาคารฯ ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 87,888 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็น ปริมาณธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 31,516 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.86%
สะท้อนความสำเร็จของธนาคารฯ BANK ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทย โดยใช้นโยบาย Dual-track Policy ชูบทบาท“ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)” ควบคู่กับ “การเป็นศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)”
ด้าน การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2564 ธนาคารฯมีวงเงินสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวม 96,381 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้าง 62,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,165 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ สนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกและการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพิ่มมากขึ้น โดยครึ่งแรกของปี มีสินเชื่อคงค้าง 45,032 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,903 ล้านบาทหรือคิดเป็น 18.10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้รุกตลาด CLMV อาทิ เวียดนาม ที่มีเสถียรภาพและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อีกทั้งยังมีความต้องการการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนจำนวนมากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ด้าน บริการประกันการส่งออกและการลงทุน เพื่อเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทย โดยเฉพาะ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้นำเข้าในต่างประเทศมีโอกาสชำระเงินล่าช้าหรือปฏิเสธการชำระค่าสินค้า โดยครึ่งแรกของปีนี้ มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 96,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 5,828 ล้านบาท หรือ 6.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ธนาคารฯยังทำหน้าที่สนับสนุนผู้ประกอบการทั้งในด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน ด้วยการออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการชำระเงิน รวมถึงการพักชำระหนี้ รวมทั้งยังให้การสนับสนุนด้านข้อมูลและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ผ่านการให้คำปรึกษาและจัดอบรมหรือสัมมนาออนไลน์ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการประมาณ 9,400 ราย เป็นวงเงินรวมกว่า 67,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ ธนาคารฯมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ 3.96% โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 5,436 ล้านบาท มี ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) 12,333 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(Coverage Ratio) 226.86% ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 712 ล้านบาท
“ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง EXIM BANK ยังคงเดินหน้า ‘ซ่อม’ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้กลับมาแข็งแรงและเดินหน้าต่อได้ ‘สร้าง’ อุตสาหกรรมของประเทศที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ด้วยส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี และ ‘เสริม’ สมดุลการค้าและการลงทุนของไทยในตลาดหลักและตลาดใหม่ (New Frontiers) รวมทั้งมุ่งสนับสนุนผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยอย่างครบวงจร ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ไม่ว่าในด้านข้อมูลความรู้และเครื่องมือทางการเงิน โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและความต้องการของผู้ประกอบการที่แตกต่างกันไปในแต่ละระดับธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม เพื่อรอโอกาสที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอีกครั้งในระยะข้างหน้า” ดร.รักษ์ ย้ำ.