Krungthai COMPASS คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 1.5-3.0%
Krungthai COMPASS คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 1.5-3.0% ท่ามกลางความเสี่ยงจาก COVID-19 ระลอกใหม่ที่กระทบเศรษฐกิจอย่างต่ำ 3 เดือน ฉุดนักท่องเที่ยวในประเทศเหลือเพียง 81.6 – 98.6 ล้านคน
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประมาณการการขยายตัวของจีดีพีสำหรับปี 2021 ลดลงเหลือ 1.5-3.0% ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) ความสามารถในการจัดการโรคระบาดกลายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) แจกกระจายวัคซีนได้ตามแผน และ (3) รัฐอัดฉีดเม็ดเงินพยุงเศรษฐกิจอีกกว่า 2 แสนล้านบาท แต่หากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่เกิดขึ้น เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวได้น้อยกว่าที่ประมาณการ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจกินเวลาอย่างน้อย 3 เดือน โดยคาดว่าจะกระทบแผนการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และส่งผลต่อเนื่องไปยังแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วง 3 เดือนข้างหน้าที่ทำได้ยากหรืออาจต้องเลื่อนออกไป นอกจากนี้ ยังกระทบต่อกำลังซื้อโดยรวม โดยเฉพาะจากแรงงานในภาคบริการที่ต้องหยุดหรือลดชั่วโมงการทำงาน
และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศอาจเหลือเพียง 81.6 – 98.6 ล้านคน ในกรณี Base case คาดว่า การท่องเที่ยวในประเทศจะหดตัวในช่วง 3 เดือนดังกล่าว โดยเฉพาะเดือน พ.ค.ก่อนที่ Sentiment จะทยอยกลับมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศทั้งปีลดลงจากประมาณการเดิมที่ 115.2 ล้านคน มาอยู่ที่ 98.6 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายราว 9 หมื่นล้านบาท และหากเกิดกรณี Worse case ก็จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศเหลือเพียง 81.6 ล้านคน สร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 แสนล้านบาท
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 0.1 ล้านคนใน Worse case ในกรณีที่มีการระบาดซ้ำซ้อน คาดว่าจะทำให้แผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในวงกว้างที่เคยประเมินว่าจะสามารถทำได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 อาจจะทำไม่ได้ ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศหายไปราว 9.0-18.1 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจากนี้ ยังกระทบอุปสงค์ในประเทศที่อาจขาดหายไปถึง 9.1-18.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ต้องจับตา 3 ปัจจัยที่จะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ประการที่ 1: ความสามารถในการควบคุมโรคระบาดกลายพันธุ์ที่ต้องมีประสิทธิภาพและรัดกุม หากการควบคุมการระบาดขาดประสิทธิภาพหรือผ่อนคลายมาตรการเร็วเกินไป อาจทำให้ต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้นกว่าเดิม และต่อเนื่องไปจนกว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้ ดังเช่นการระบาดแบบ 2 ระลอกติดกันหรือ Double-dip ในเคสของประเทศอังกฤษ
ประการที่ 2: การแจกกระจายวัคซีนในประเทศที่ต้องรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยที่สร้างเสริมความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและประชาชนได้มากที่สุด และจะทำให้ภาพของอุปสงค์ในประเทศกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยจากข้อมูล Our world in data.org พบว่า ส่วนใหญ่ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per capita) สูง จำนวนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนสะสมก็จะสูงตามไปด้วยเมื่อเทียบกับประเทศรายได้ปานกลาง-ต่ำอย่างแถบอาเซียน อย่างไรก็ดี ไทยซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีรายได้สูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน แต่กลับพบว่า จำนวนโดสสะสมของไทยอยู่ที่เพียง 1.0% ซึ่งต่ำกว่าเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และลาวค่อนข้างมาก (รูปที่ 3) ซึ่งก็ยิ่งจะทำให้โอกาสที่วัคซีนจะกลายเป็น Game Changer จนสร้างเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ได้และพร้อมเปิดประเทศอาจต้องล่าช้าออกไป
ประการที่ 3: เม็ดเงินพยุงเศรษฐกิจที่ต้องเป็นไปอย่าง “ตามเป้า-ต่อเนื่อง-ตรงจุด” ตามเม็ดเงินจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ยังคงเหลืออยู่ราว 2.2 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้ต่อยอดจากโครงการเดิมที่มีกระแสตอบรับดี เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน หรือเราชนะ เป็นต้น ซึ่งจะเข้ามาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมให้เศรษฐกิจอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.5% นอกจากนี้ ยังมีเม็ดเงินที่สามารถจัดสรรจากงบกลางได้อีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ ภาครัฐยังต้องคำนึงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน (K-shape Recovery) โดยเฉพาะการขยายระยะเวลามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานที่ยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรค
“Krungthai COMPASS ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5%-3.0% ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเม็ดเงินที่เข้ามาประคับประคองเศรษฐกิจ รวมถึงระดับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงในรอบนี้”