โรงไฟฟ้าชุมชน เดินหน้าต่อ แต่ขอศึกษาเพิ่มอีก 30 วัน
สุพัฒนพงษ์ เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายพลังงาน หนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ วางรากฐาน เพื่ออนาคต พร้อมหางานป้อนแรงงานจบใหม่ 4 แสนราย ส่วนโรงไฟฟ้าชุมชนต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก 30 วัน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวถึงนโยบายด้านพลังงาน ภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “พลังงานร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ว่า จะเน้นนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การสร้างงาน สร้างรายได้ รวมถึงวางรากฐาน เพื่ออนาคตด้านพลังงานของประเทศ โดยจะเน้นการลงมือทำให้สำเร็จ (Execution) ซึ่งได้มอบให้ผู้บริหารทำแผนระยะ 5 ปี ที่กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อให้ติดตามได้อย่างใกล้ชิด
สำหรับโครงการที่ต่อเนื่องจะยังคงเดินหน้าต่อไป ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ให้มีรูปแบบการดำเนินโครงการที่สร้างความมั่นใจได้ว่าเกษตรกรหรือชุมชนได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง มีความยั่งยืน โดยจะศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม 30 วัน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนมากที่สุด คาดว่าจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าปลายปีนี้ และเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 64 ส่วนการรับซื้อไฟฟ้าประเภท Quick win จะยังอยู่ในกรอบ 100-200 เมกะวัตต์ (MW) หรือไม่นั้น ต้องรอผลการศึกษาออกมาก่อน
ทั้งนี้ การรับซื้อโรงไฟฟ้าชุมชนสามารถดำเนินการได้ภายใต้แผน PDP ฉบับเดิม เพียงแต่เพิ่มเติมบทแทรก เพื่อขอความเห็นชอบตามขึ้นตอน ไม่ต้องรอจัดทำแผน PDP ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 ส่วนโครงการโซลาร์ภาคประชาชน จะปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าจากเดิม 1.68 บาทต่อหน่วยหรือไม่ ต้องใช้เวลาพิจารณา และจะต้องไม่กระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าปัจจุบัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน
ส่วนการเปิดประมูลปิโตรเลียมรอบใหม่ ขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่น่าจะจูงใจให้มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลเพราะไม่คุ้มค่า
ด้านการส่งเสริมน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งแก๊สโซฮอล์ E20 และดีเซล B10 ยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะจะสามารถช่วยให้เกษตรกรได้ประโยชน์ ส่วนจะสามารถประกาศให้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐานได้เมื่อใดนั้นยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอรายละเอียดจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ก่อนเพื่อให้เป็นไปตามความตั้งใจที่จะให้เป็นพลังงานทดแทนเพื่อความยั่งยืน
รวมทั้งการส่งเสริมน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพไม่ว่าจะเป็นแก๊สโซฮอล์ E20 หรือ B10 ยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะเกษตรกรได้รับผลประโยชน์ และมีมาตรการป้องปรามการลักลอบการนำเข้าน้ำมันปาล์มที่จะใช้ในภาคพลังงานได้อย่างรัดกุม รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยใช้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นกลไกขับเคลื่อนก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยเน้นหนักให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้กับประชาชน รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่จะบรรเทาค่าครองชีพประชาชนโดยจะเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรึงราคาพลังงานอาทิ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV) ที่จะต้องมีการพิจารณารายละเอียดต่อไป
นอกจากนั้นยังขอให้หน่วยงาน ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องพลังงาน พิจารณาการจ้างงานเพิ่ม เพื่อรองรับแรงงานที่จบใหม่ประมาณ 4 แสนราย และก่อให้เกิดการสร้างงานในกลุ่มเอสเอ็มอีเพิ่มเติม และได้ขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันคิดและนำเสนอแผนงานกลับมาภายใน 2 สัปดาห์ โดยเน้นในเรื่องการจ้างงาน การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและเอสเอ็มอี เพื่อให้มีการกระจายสัดส่วนรายได้ลงไปสู่ภูมิภาค ตลอดจนลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน