สนพ.คาด ตลาดน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว
สนพ. เผย แนวโน้มตลาดน้ำมันดิบทรงตัว จากอุปทานเพิ่มขึ้นตามข้อตกลงกลุ่มโอเปกพลัส ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ และจีนปรับตัวดีขึ้น
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้น หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง โดยตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐฯ และจีนปรับตัวดีขึ้น แสดงถึงความต้องการใช้น้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยหนุนจากข่าวดีเรื่องการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นที่น่าพอใจ
แต่ตลาดยังกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่าปัจจุบันยังไม่ผ่านพ้นสภาวะเลวร้าย โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ อุปทานน้ำมันมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นตามข้อตกลงของ OPEC+ ที่จะลดกำลังการผลิตลงมาอยู่ที่ 7.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วงเดือน ส.ค.-ธ.ค. 63 (ลดจากเดือน พ.ค.-ก.ค.63 ซึ่งลดที่ระดับ 9.6-9.7 ล้านบาร์เรล/วัน) โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรัสเซียมีแผนจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในเดือน ส.ค. 63
รวมทั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบียมีแนวโน้มจะกลับมาดำเนินการผลิตและส่งออกอีกครั้ง หลังหยุดชะงักนานกว่า 6 เดือน นอกจากนี้ จำนวนหลุมขุดเจาะในสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ในช่วงหลังของปี 2563 หากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอยู่ในระดับสูงกว่า 40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
สำหรับ ราคาน้ำมันโลก ระหว่าง วันที่ 29 มิ.ย. – 5 ก.ค.63 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ $42.17 และ $39.86 ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว $0.05 และ $0.70 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นหลังตัวเลขทางเศรษฐกิจทั่วโลกเดือน มิ.ย. มีทิศทางที่ดีขึ้น อาทิ ดัชนีกิจกรรมการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 52.6 สูงสุดในรอบ 1 ปี และดัชนีรวมของยูโรโซนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 75.7 รวมทั้งจีนที่เผยกำไรภาคอุตสาหกรรมในเดือน พ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความต้องการใช้น้ำมันที่เริ่มฟื้นตัว
ทั้งนี้สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) รายงานตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สิ้นสุดสัปดาห์วันที่ 26 มิ.ย. 63 ปรับตัวลดลงกว่า 8.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 537 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 0.7 ล้านบาร์เรล ส่วน Baker Hughes รายงานจำนวนหลุมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯปรับลดลงสู่ระดับ 265 แท่น ณ 26 มิ.ย. โดยในเดือน มิ.ย. ปรับลดลงรวม 36 แท่น เป็นการลดลง 4 เดือนต่อเนื่อง
ส่วน ราคากลางน้ำมันสำเร็จรูปตลาดภูมิภาคเอเชีย ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และ 91 (Non-Oxy) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ $45.75, $43.50 และ $44.71 ต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว $1.87, $2.01 และ $2.00 ต่อบาร์เรล โดยปริมาณส่งออกน้ำมันเบนซินในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย
ด้านปริมาณสำรอง Light Distillates เชิงพาณิชย์ในภูมิภาคลดลง โดย International Enterprise Singapore (IES) รายงานปริมาณสำรองที่สิงคโปร์ ณ วันที่ 1 ก.ค. 63 เพิ่มขึ้น 0.16 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 15.11 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ และ Platts รายงานปริมาณสำรองในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ Fujairah Oil Industry Zone (FOIZ) ณ วันที่ 29 มิ.ย. 63 ลดลง 0.32 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 7.91 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (10 PPM) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ $48.93 ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว $0.07 ต่อบาร์เรล ปริมาณสำรอง Middle Distillates เชิงพาณิชย์ในภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดย IES รายงานปริมาณสำรองที่สิงคโปร์ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 ก.ค. 63 ลดลง 0.54 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 13.41 ล้านบาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และ Platts รายงานปริมาณสำรองในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ FOIZ ณ วันที่ 29 มิ.ย. 63 ลดลง 0.97 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 4.10 ล้านบาร์เรล
ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.06 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ระดับเฉลี่ย 31.1556 บาท/เหรียญสหรัฐฯ (ต้นทุนน้ำมันเบนซินลดลง 0.35 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.03 บาท/ลิตร) ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.30 บาท/ลิตร (โดยมีค่าขนส่งน้ำมันทางท่อจากศรีราชา – กรุงเทพฯ อีก 0.15 บาท/ลิตร) และค่าการกลั่น เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 0.39 บาท/ลิตร
สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง: ณ วันที่ 5 ก.ค. 63 กองทุนน้ำมันมีสินทรัพย์รวม 56,275 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 22,647 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 33,628 ล้านบาท (บัญชีน้ำมัน 40,243 ล้านบาท บัญชี LPG -6,615 ล้านบาท)