“บี.กริม” เผย รัฐลดค่าไฟกระทบรายได้ 0.17%
“บี.กริม” เผย มาตรการรัฐลดค่าไฟฟ้าช่วยเหลือประชาชน เผยกระทบรายได้เพียง 0.17% เดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง พร้อมระบุราคาก๊าซธรรมชาติลดลง หนุนกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน ดูแลปัญหาภัยแล้งและกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 โดยมีมาตรการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไฟฟ้า ให้ตรึงค่าเอฟทีในเดือนพฤษภาคมที่อัตราเดิมคือ -11.6 สตางค์ และลดค่าไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 3 ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) นั้น
บริษัทมีความยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยการลดค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 3 เดือนเริ่มในเดือนเมษายนนี้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
โดยมาตรการปรับลดค่าไฟฟ้าในระยะสั้นในอัตราร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 3 เดือนนี้ บริษัทประเมินผลกระทบต่อรายได้รวมทั้งปีในอัตราเพียงร้อยละ 0.17 เนื่องจากเป็นมาตรการชั่วคราว และไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 77 ของรายได้รวม อันมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และรายได้จากโครงการในต่างประเทศ มีเพียงธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 23 ที่จะได้รับผลกระทบชั่วคราวนี้
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยในปีนี้มีลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่ลงนามซื้อขายไฟฟ้ารวมถึง 31 เมกะวัตต์ทยอยเข้ามาในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 มียอดการใช้ไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนในอัตราร้อยละ 1 ซึ่งมาจากการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
นอกจากนี้ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นต้นทุนหลักของบริษัทที่มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของต้นทุนรวม บริษัทจึงมีโอกาสลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญจากแนวโน้มการปรับตัวลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 มีการปรับตัวลงถึงร้อยละ 9 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทประเมินว่าจะส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทราวร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 2,331 ล้านบาทในปี 2562.