“กฟผ.”นำเทคโนโลยีญี่ปุ่น เดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะ
กฟผ. จับมือ ญี่ปุ่น นำเทคโนโลยีดิจิทัล เดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าแม่เมาะ คาดปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ย 0.45% เพิ่มความมั่นคงโรงไฟฟ้ามากกว่า 1% ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 1.4 หมื่นตันต่อปี
นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวภายหลังลงนามร่วมกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organization : NEDO) ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท มารูเบนิ จำกัด นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยสนับสนุนการทำงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 11 และ 13 ว่า เทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้จะช่วยสนับสนุนการทำงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ อาทิ การเชื่อมต่อข้อมูลเดินเครื่องและบำรุงรักษาด้วยระบบ IoT การนำ AI มาวิเคราะห์และช่วยปรับปรุงค่า Heat Rate การใช้ระบบติดตามเพื่อตรวจจับความผิดปกติซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และระบบวิเคราะห์ความคุ้มค่าด้านการเงิน ความเสี่ยง และโอกาสในการผลิต
สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับองค์การเนโดะ ประเทศญี่ปุ่น ครั้งแรก และยังเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท มารูเบนิ จำกัด เป็นครั้งที่ 3 เพื่อดำเนินการติดตั้งและนำระบบดิจิทัลมาใช้งานที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง โดยมีกรอบระยะเวลา 3 ปี ได้แก่ ปี 2563 เป็นการติดตั้งระบบ และในปี 2564 – 2565 จะเป็นการทดสอบใช้งานจริง
โดยมีเป้าหมาย จะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ย 0.45% เพิ่มความมั่นคงโรงไฟฟ้ามากกว่า 1% ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 1.4 หมื่นตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าหลายสิบล้านบาทต่อปี หากผลการประเมินเป็นไปตามเป้าหมาย คุ้มค่าต่อการลงทุน กฟผ.จะขยายไปยังโรงไฟฟ้าอื่นต่อไป โดยล่าสุดได้ติดตั้งเทคโนโลยีดิจิทัลในโรงไฟฟ้า 3 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ วังน้อย และจะนะ
ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 11 และ 13 มีกำลังการผลิตหน่วยละ 300 เมกะวัตต์ รวมเป็นกำลังผลิตทั้งสิ้น 600 เมกะวัตต์ โดยใช้ถ่านหินลิกไนต์จากเหมืองที่อยู่ในบริเวณพื้นที่โรงไฟฟ้ามาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า มีคลิป