EEC ไฟเขียวตั้งโรงไฟฟ้ากำจัดขยะเกือบ 2 ไร่ต่อวัน
บอร์ด EEC เห็นชอบ ตั้ง คณะกรรมการ ดูแล ไฮสปีดเทรน ตั้งโรงไฟฟ้า หาพื้นที่รับขยะ 1.66 ไร่ต่อวัน และพัฒนาการเรียนการสอน อาชีวะให้ทัดเทียมสากล
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติ แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล คณะกรรมการบริหารสัญญา และโครงสร้างการบริหารจัดการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อบริหารสัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะช่วงเริ่มโครงการฯ ที่เน้นการออกแบบและการก่อสร้าง เป็นหลัก
และ ให้ สกพอ.ประสานจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำโครงการบริหารจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี ต้นแบบการกำจัดขยะอย่างยั่งยืน ทั้งขยะบก บนเกาะ และในทะเล ให้เสร็จภายใน 3 เดือน โดยให้กลุ่มบริษัท ปตท. บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เข้าร่วมศึกษา
และให้จังหวัดในพื้นที่อีอีซี เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งโรงงานขยะ และโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะ พร้อมกับให้กระทรวงพลังงานพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะ ในพื้นที่อีอีซี
หลังจาก กพอ. ได้พิจารณา สถานการณ์ปริมาณขยะมูลฝอยในพื้นที่อีอีซี ที่คาดว่าเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณ 4,200 ตันต่อวัน ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 6,800 ตันต่อวัน ในปี 2580 แต่ปัจจุบันยังขาดการบริหารจัดการ และขยะที่เกิดขึ้นก็ปริมาณมากขึ้นทุกวัน ซึ่งหากยังใช้การฝังกลบแบบเดิม นอกจากขยะไม่ย่อยสลายแล้ว ก็ยังสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งต้องหาพื้นที่เพิ่ม เพื่อรับรองปริมาณขยะที่สูงถึง 1.66 ไร่ต่อวัน
ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการขยะในพื้นที่อีอีซี เกิดขึ้นอย่างประสิทธิภาพและยั่งยืน จึงขยายพื้นที่เป้าหมายครอบคลุม 3 จังหวัด อีอีซี เพิ่มอีก 6 แห่ง เพื่อสามารถกำจัดขยะมูลฝอยทั้งรายวัน และขยะสะสมรวม 6,000 ตันต่อวัน สามารถผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะได้ประมาณ 120 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถกำจัดขยะที่เกิดขึ้นใหม่ทุกวันและกำจัดขยะที่สะสมได้กว่า 5.57 ล้านตัน ในพื้นที่ อีอีซี ให้หมดไปภายใน 12 ปี
และ เห็นชอบความคืบหน้าขั้นตอนการดำเนินงานการพัฒนาบุคลากร ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ใน 2 ปี โดยใช้หลักการ Demand Driven มี 2 รูปแบบ คือ 1. EEC Model Type A : เอกชนร่วมจ่าย 100% มีสถาบันอาชีวศึกษาในพื้นที่เข้าร่วม 12 สถาบัน โดยปีการศึกษา 2562 มีนักศึกษาในระบบ 1,117 คน และมี MOU ร่วมกับผู้ประกอบการในอีอีซี พัฒนากำลังคนทั้งในระดับอาชีวะและปริญญาตรี จำนวน 44,000 คน
- EEC Model Type B เอกชนร่วมบ้าง 10-50% ผู้ประกอบการมีส่วนร่วม ในการพัฒนาหลักสูตรจัดการเรียนรู้บางส่วน และรับนักศึกษาเข้าฝึกงาน แต่ไม่ประกันการจ้างงาน โดยกลุ่มนี้มีการผลิตกำลังคนใน 36 วิทยาลัย รวม 5,100 คน และจะขยายให้ครอบคลุม 48 วิทยาลัยในภาคตะวันออก
และแนวทางการสนับสนุนบัณฑิตอาสา เพื่อกระจายโอกาสสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างอนาคตให้บัณฑิตอาสาในพื้นที่ อีอีซี : เปิดรับสมัครคัดเลือกบัณฑิตระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่สำเร็จการศึกษาไม่เกิน 3 ปี จำนวน 120 คน เพื่อฝึกอบรม 2 เดือนและทำงานในพื้นที่ อีอีซี ของ 30 อำเภอ โดยทำงานร่วมกันระหว่าง ม.บูรพาและมหาลัยเครือข่าย ซึ่งคาดว่าจะได้บัณฑิตอาสารุ่นแรก ภายในเดือนมกราคม 2563 ประมาณ 30 คน จาก 3 จังหวัด ในอีอีซี
รวมทั้งแนวทางการปรับฐานภาษาอังกฤษของนักเรียนอาชีวศึกษา ในอีอีซี (อาชีวะอินเตอร์) พัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในสถาบันอาชีวศึกษาของรัฐในพื้นที่ อีอีซี จัดการเรียนแบบ Content Language Integrated Learning (CLIL) เพื่อยกระดับศักยภาพของนักเรียนให้ทัดเทียมสากล สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในวิชาชีพได้อย่างมั่นใจ และทำงานได้ค่าตอบแทนสูง