สนธิรัตน์ ดึง 4 คปพ.ร่วมคณะทำงานพลังงานทดแทน
คปพ.เสนอแนะ 5 ประเด็นด้านพลังงาน ติงค่าไฟโซลาร์รูฟท็อปไม่จูงใจ ด้าน สนธิรัตน์ ดึง 4 แกนนำ คปพ.นั่งคณะทำงานขับเคลื่อนพลังงานทดแทนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก พร้อมเชิญทุกภาคส่วน ร่วมคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงาน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังร่วมหารือกับแกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน (คปพ.) นำโดย นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต สว.สรรหา นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการด้านพลังงาน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานของประเทศ ว่า กลุ่ม คปพ.มีข้อเสนอแนะ 5 ประเด็น คือ 1. การจัดการผลประโยชน์ปลายน้ำ ราคาน้ำมัน ราคาก๊าซในประเทศ และผลกระทบต่อประชาชน 2. การจัดการผลประโยชน์ต้นน้ำระหว่างประเทศ กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา 3. การจัดการผลประโยชน์ต้นน้ำในประเทศ Producting Sharing Contact 4. การแยกเป็น PTTOR แบ่งผลประโยชน์กระทรวงการคลังกับผู้ถือหุ้น และเลี่ยงกฎหมายรัฐวิสาหกิจ 5. การผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. 51% ไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ ประเด็นราคาขายปลีกพลังงาน คปพ.นำเสนอให้แก้ปัญหาที่โครงสร้างราคาแทนการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุน เพราะกองทุนน้ำมันฯก็นำเงินมาจากประชาชน สุดท้ายประชาชนเป็นผู้จ่ายแพงอยู่ดี โดยเสนอให้ลดต้นทุนที่เป็นค่าขนส่งเทียม โดยยกเลิกการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งปัจจุบันอิงราคาสิงคโปร์บวกค่าขนส่งในการนำเข้า ซึ่งจะลดต้นทุนขนส่งได้ 50-60 สตางค์/ลิตร และปัจจุบันการกลั่นน้ำมันในไทยเกินความต้องการจนต้องส่งออกไป ควรลดกำลังการกลั่น ทบทวนบริหารผลประโยชน์ระหว่างโรงกลั่นกับประชาชน โรงกลั่นไม่ควรได้สิทธิประโยชน์มากเกินไป
ส่วน ราคาเอทานอล และไบโอดีเซล (B100) การส่งเสริมยิ่งทำให้ราคาปลายทางแพงขึ้น การอ้างอิงราคาเอทานอลของไทย ทำให้ราคาเอทานอลไทยแพงกว่าตลาดโลก ทำให้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุน ขณะที่ราคาเอทานอลไทยแพงกว่าบราซิล 70% แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับตกกับผู้ประกอบการไม่ถึงมือเกษตรกร เสนอให้ ประชาชนสามารถผลิตและขาย B100 ได้โดยตรง ควรกระจายธุรกิจพลังงานสู่ชุมชน และยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ในขณะที่โรงงานผลิตเอทานอล ไบโอดีเซลซึ่งคุ้มทุนแล้วรัฐควรมีระยะเวลาในการให้สิทธิประโยชน์ไม่ได้ให้ไปตลอด
นายสนธิรัตน์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า กระทรวงพลังงานเริ่มจะปรับการใช้ B7 และปรับโครงสร้างน้ำมันดีเซลใหม่โดยสนับสนุน B10 และ B20 แก้ปัญหาการลักลอบปาล์มน้ำมัน กำหนดผู้ผลิตลงทะเบียนในระบบ ซึ่งแม้ว่าสุดท้ายแล้วราคาปลายทางอาจจะแพงขึ้นได้ แต่ผลประโยชน์ต้องตกกับประชาชนด้วย โดยกระทรวงฯจะกำหนดสิทธิประโยชน์โดยดูเรื่องผลประโยชน์ต่อเกษตรกร และรับประกันว่า จะสามารถบริหารสมดุลด้าน Supply และ Demand ได้ โดยมอบ ปตท. คิดกลไกเพื่อได้ได้ราคาที่เกษตรกรอยู่ได้ โดยที่ด้านกระทรวงพาณิชย์เองก็ต้องประกันปริมาณปาล์มไม่ให้ขาดแคลนด้วย
สนธิรัตน์ กล่าวอีกว่าว่า กระทรวงพลังงานจะเชิญแกนนำทั้ง 4 คนนี้เข้ามาร่วมทำงานเพื่อพัฒนาในเรื่องดังกล่าว เป็นคณะทำงานขับเคลื่อนพลังงานทดแทนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงาน โดยเชิญทุกภาคส่วนที่มีความคิดเห็นด้านพลังงานเข้ามาทำงานร่วมกัน
ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กล่าวว่า หากรัฐต้องการใช้ความแข็งแรงของปตท.เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประชาชน โดยการเพิ่มบทบาทของ ปตท.จะต้องมีการตรวจสอบและสร้างความดุลในอำนาจหน้าที่
สำหรับประเด็นก๊าซหุงต้ม ปัจจุบันประสบปัญหา 3 ข้อ คือ 1. ภาคปิโตรเคมีใช้มากเกินไป 2. ราคาอ้างอิงราคานำเข้าทั้งที่ผลิตได้เองมากในประเทศ 3. ปตท. ผูกขาด โดยเสนอแนวทางแก้ไข คือ 1. จัดลำดับความสำคัญ ให้ ประชาชนได้ใช้ก่อน 2. ปรับกลับมาใช้ระบบ Pool
ส่วนประเด็นการประมูลแหล่งเอราวัณ-บงกช ระบุว่า ขอให้มีการตรวจสอบกลไกการประมูลแหล่งเอราวัณ-บงกช เพราะระบบ PSC ที่นำมาใช้ในการประมูลเป็นระบบ PSC จำแลง ทำให้รัฐเสียประโยชน์ ได้ค่าภาคหลวงน้อยลง นอกจากนี้ บริษัทที่เข้าร่วมการประมูลอย่างบริษัทเชฟรอน ก็มีประวัติด่างพร้อยเรื่องค้าน้ำมันเถื่อน จึงไม่ควรมีสิทธิได้เข้าร่วมประมูล ส่วนบริษัท ปตท.สผ.ที่ชนะการประมูล ก็เป็นผู้ที่ครอบครองท่อก๊าซเชฟรอน สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์จากการผลิตก๊าซทั้ง 2 แหล่งภาคปิโตรเคมี ที่ไม่ได้จ่ายอะไรเลย แต่กลับได้ใช้ก๊าซในราคาถูก และรัฐก็ไม่ควรยกเลิกสิทธิ์ 25 % ของรัฐในการร่วมสำรวจระบบ PSC
นอกจากนี้ ทาง คปพ. ยังระบุถึงความไม่เหมาะสมกรณีที่ข้าราชการเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารในรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนเพราะมองว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน กรณี กฟผ. มองว่า แม้จะไม่ถูกแปรรูป แต่มีการเข้าไปล้วงลูก และเข้าไปทำประกันกำไรให้นักลงทุน ส่วนประชาชนเป็นผู้แบกรับการประกันกำไร
นางสาวรสนา โตสิตระกูล กล่าวสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนของกระทรวงพลังงานที่รัฐมนตรีฯวางไว้ให้ตอบโจทย์ 3 เรื่อง คือ ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยลดโลกร้อน และเรื่อง AI ส่วนเรื่องการสนับสนุนระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) มองว่า รัฐตั้งภาษีแพงเกินไป พร้อมทั้งเสนอให้วางรากฐานให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานโดยเสนอให้รัฐมนตรีฯ วางพื้นฐานให้คนเข้าถึงพลังงาน โดยใช้ Disruptive Technology และระบบ Net Metering สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์รูฟท็อปในราคา 1.68 บาท/หน่วย มองว่าเป็นราคาที่ไม่จูงใจ