SVI ฮุบ โทโฮกุ ไพโอเนียร์ ขยายตลาดยานยนต์
SVI ซื้อกิจการ บริษัท โทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ต่อยอดขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ คาดกำไรเพิ่มขึ้น 2-3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า
นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติลงนามเข้าซื้อหุ้น 100% ของ บริษัท โทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตอุปกรณ์สำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ติดตั้งในรถยนต์แบบสันดาปและยานยนต์ไฟฟ้าให้แก่ผู้ผลิตรายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งสัญชาติญี่ปุ่นและยุโรป
ทั้งนี้ บริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์ มีพื้นที่การผลิตกว่า 15,000 ตารางเมตร รวมถึงยังเป็นผู้รับจ้างผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของลูกค้า (OEM) ให้แก่ผู้ผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์แบรนด์ชั้นนำระดับโลกอีกมากมาย
สำหรับ บริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์ เป็นผู้ผลิตที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า 20 ปี ในการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อน ซึ่งต้องใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต โดยที่อุปกรณ์ดังกล่าวนั้น สามารถนำมาใช้เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ SVI ดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ทำให้ได้ประโยชน์จากการเข้าบริหารซัพพลายเชนต้นน้ำ เพื่อบริหารต้นทุนการผลิตโดยรวมลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวของ SVI
ภายหลังเข้าซื้อกิจการจะก่อให้เกิด Synergy ร่วมเสริมสร้างความแข็งแกร่งระหว่างกัน ทำให้ SVI สามารถต่อยอดขยายตลาดใหม่จากฐานลูกค้าเดิมของบริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์ ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีฐานผลิตในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นได้เพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังสามารถนำเสนอทางเลือกให้แก่ฐานลูกค้าของ SVI มาใช้อุปกรณ์สำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานดังกล่าว ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตของเครื่องจักรได้เต็มประสิทธิภาพ โดย SVI วางเป้าหมาย 3 ปี จะผลักดันยอดรายได้บริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์ จะเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 1,500 ล้านบาท
“การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้เกิด Win-Win ทำให้ SVI ใช้ความสามารถด้านการผลิตของโรงงานแห่งนี้ได้อย่างเต็มที่เพื่อบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้ดียิ่งขึ้นควบคู่กับการขยายลูกค้ารายใหม่ เพื่อผลักดันยอดขายของบริษัทโทโฮกุ ไพโอเนียร์ ให้สูงขึ้นและบันทึกกำไรจากการดำเนินงานที่มาจากดีลนี้ ทำให้อัตราการทำกำไรสุทธิของ SVI เพิ่มขึ้น 2-3% และกำไรต่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10% ในอีก 3 ปีข้างหน้า” นายสมชาย กล่าว