จีนใช้ระบบจดจำใบหน้ากับผู้ใช้งานมือถือ
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. จีนเริ่มใช้กฎระเบียบใหม่ที่ให้มีการสแกนใบหน้าผู้ใช้งานเพื่อการจดทะเบียนใช้บริการโทรศัพท์มือถือ โดยผู้เชี่ยวชาญและสื่อภาครัฐแสดงความกังวลว่า ไม่มีมาตรการเพียงพอที่จะคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของประชาชน
ก่อนที่จะมีการใช้ระเบียบการใหม่ ซึ่งทางกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมีการประกาศเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา สิ่งที่ประชาชนที่จดทะเบียนใช้บริการโทรศัพท์มือถือต้องใช้คือ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น
ทางกระทรวงระบุว่า มาตรการใหม่จะช่วยกระตุ้นยอดขายซิมการ์ด และปกป้องประชาชนไม่ให้ถูกคนร้ายขโมยเอกสารไปใช้ในการจดทะเบียนโทรศัพท์มือถือได้
บริการออนไลน์และโซเชียลมีเดียจำนวนมากในจีนผูกไว้กับเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถติดตามแกะรอยผู้ใช้งานได้
หลายคนโพสต์ออนไลน์ว่าผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมเริ่มให้มีการสแกนใบหน้าก่อนที่จะมีการใช้งานอย่างเป็นทางการ ขณะที่อีกหลายคนระบุว่า พวกเขาหวังว่ามาตรการใหม่จะช่วยลดการปลอมแปลงหลักฐานด้านการสื่อสารและโทรศัพท์หลอกลวงต่างๆ ขณะที่อีกหลายคนระบุว่า เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของรัฐบาลในการเพิ่มการสำรวจตรวจตราพลเมืองมากขึ้น
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. กรุงปักกิ่งและอีกหลายเมืองทั่วประเทศร่วมใช้ระบบจดจำใบหน้ากับโครงข่ายรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยเทคโนโลยียังถูกนำมาใช้กับแอปพลิเคชั่นเพื่อการพาณิชย์ และหน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาล
ผู้เชี่ยวชาญบางคนระบุว่า พวกเขากังวลว่าเทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้โดยไม่มีการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวที่เหมาะสม
สถานีโทรทัศน์ CCTV รายงานเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ว่า แอปพลิเคชั่นจำนวนมากในจีนเก็บข้อมูลใบหน้าโดยไม่มีการตกลงกับผู้ใช้งาน
ในกรณีหนึ่ง มีการขายข้อมูลใบหน้ากว่า 5,000 คนทางออนไลน์ใราคาเพียง 10 หยวน (43.5 บาท) ต่อคนทำให้สื่อไชน่า เดลี่ ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์ออกบทความที่ระบุว่า ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเมื่อถูกขอสแกนใบหน้า
ศ.เหลาตงหยัน อาจารย์สอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยชิงหัวระบุว่า จีนไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมการกำกับดูแลเทคโนโลยีจดจำใบหน้า
“ หากมีการใช้ในทางที่ผิด การเก็บข้อมูลอย่างถูกกฎหมายอาจเป็นภัยมหันต์ เพราะเราไม่มีการควบคุมการใช้งานอย่างผิดๆในกฎหมายอาญา ”
แต่ถึงแม้จะมีกฎหมายเพื่อปกป้องข้อมูลใบหน้าของประชาชน แต่ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายบางรายระบุว่า จะไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงของข้อมูลส่วนตัวเมื่อตกอยู่ในมือรัฐบาล
“ หากมีการใช้เทคโนโลยีนี้ในขนาดใหญ่ เราไม่มีที่ให้หลบซ่อน ” หวังซินหรุย นักกฎหมายประจำสำนักงานที่กรุงปักกิ่งให้ความเห็น “ ความเสี่ยงของเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามีสูงมากและยากจะจัดการ ”