กำไรอุต.จีนหดตัวสุดในรอบ 8 ปี
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. บริษัทอุตสาหกรรมของจีนโพสต์ตัวเลขผลกำไรในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ว่า ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2554 เป็นต้นมา ก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดมากขึ้นกับเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเผชิญกับดีมานด์ที่ชะลอตัวลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ
กำไรที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดชี้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจของจีนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เพราะในปี 61 จีนมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดต่ำลงที่สุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ รัฐบาลลดเป้าตัวเลข GDP ของปีนี้ลงเหลือ 6.0 – 6.5% จากตัวเลข GDP เดิม 6.6% ในปี 61
โดยตัวเลขผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมจีนในเดือนม.ค. – ก.พ. ปีนี้ดิ่งฮวบลงถึง 14.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยตัวเลขอยู่ที่ 708,010 ล้านหยวน หรือราว 3.38 ล้านล้านบาท จากข้อมูลที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อวันที่ 27 มี.ค. นับเป็นการหดตัวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่รอยเตอร์เริ่มบันทึกสถิติในเดือนต.ค.54 เป็นต้นมา
ตัวเลขที่ถูกฉุดลงเกิดจากการหดตัวของราคาในภาคส่วนอุตสาหกรรมสำคัญ อย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ การแปรรูปน้ำมัน เหล็ก และอุตสาหกรรมเคมี จูฮง ระบุในแถลงการณ์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยเสริมว่าการผลิตและการขายก็ชะลอตัวเช่นกัน
กำไรในภาคส่วนรถยนต์ลดลง 37,100 ล้านหยวน เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่กำไรในอุตสาหกรรมแปรรูปน้ำมันลดลง 31,700 ล้านหยวน อ้างอิงจากข้อมูลของทางการ
โดยจูระบุว่าวันหยุดตรุษจีนช่วงตอนต้นเดือนก.พ. ส่งผลกระทบด้านลบกับการดำเนินธุรกิจในปีนี้ มากกว่าในปี 61
ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ยังชี้ว่า ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนถดถอย ด้วยยอดขายที่ลดลงถึง 13.8% ในเดือนก.พ.ปีนี้ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ทำให้ตลาดรถยนต์ของจีน มียอดขายลดลงต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 8 แล้ว
เมื่อต้นเดือนมี.ค.นี้ จีนประกาศลดภาษีจำนวนหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมทั้งการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ลง 3% สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและกำไรลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
กรมศุลกากรระบุเมื่อวันที่ 27 มี.ค.ว่า การลด VAT จะช่วยลดภาระภาษีให้ผู้นำเข้าได้ถึง 225,000 ล้านหยวน
เนื่องจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่มีผลบังคับใช้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนจะยังไม่มีเสถียรภาพจนกว่าจะถึงกลางปีนี้.