หุ้นจีนพุ่งในรอบกว่า 2 ปี
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิทของจีนพุ่งทะยานขึ้นกว่า 3% เมื่อเช้าวันที่ 22 ต.ค.เนื่องจากความเห็นของรองนายกรัฐมนตรีหลิวเหอเรื่องตลาดหุ้นช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดให้กลับคืนมา
เมื่อเวลา 10.15 น. ดัชนีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดอยู่ที่ 2,639.49 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.49% จากการปิดตลาดซื้อขายก่อนหน้านี้ ถือเป็นการพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี หลังเห็นสัญญาณว่ารัฐบาลจะก้าวเข้ามาสนับสนุนตลาด โดยดัชนีปิดตลาดด้วยตัวเลขที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ถือเป็นการปรับขึ้นในวันเดียวที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปี 2559 เป็นต้นมา
ขณะที่ดัชนีเซินเจิ้นคอมโพสิทก็มีตัวเลขการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยพุ่งทะยานขึ้นมาอยู่ที่ 7,685.58 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากกว่า 4% จากที่ปิดตลาดซื้อขายก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. รองนายกฯหลิว ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตอบคำถามสื่อในประเทศเกี่ยวกับประเด็นร้อนด้านเศรษฐกิจและการเงิน โดยเน้นถึงความยืดหยุ่นและโอกาสของเศรษฐกิจจีน
ทั้งนี้ รองนายกฯหลิวระบุว่า การแก้ไขข้อผิดพลาดและการเทขายในตลาดหุ้นช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนที่ดีในระยะยาวและการพัฒนาสภาวะที่ดีของตลาดหุ้น และออกแถลงการณ์ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนนักลงทุนในตลาดที่ผันผวน
นอกจากนี้ ในช่วงสุดสัปดาห์ รัฐบาลเผยแพร่ร่างกฎระเบียบใหม่ของการหักลดหย่อนภาษีส่วนบุคคล อ้างอิงจากรายงานของรอยเตอร์
ขณะเดียวกัน ธนาคารประชาชน หรือธนาคารกลางของจีนได้อัดฉีดเงินทุนจำนวน 120,000 ล้านหยวนเข้ามาในตลาดเมื่อวันที่ 22 ต.ค.ผ่านธุรกรรมการซื้อหลักทรัพย์โดยมีสัญญาจะขายคืน (reverse repo) เพื่อคงสภาพคล่อง
โดยธนาคารประชาชนของจีน (PBOC) ได้ทำธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ โดยมีสัญญาจะขายคืนใน 7 วัน ด้วยดอกเบี้ย 2.55% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากอัตราการดำเนินการก่อนหน้านี้มีมูลค่า 30,000 ล้านหยวนเมื่อวันที่ 19 ต.ค. อ้างอิงจากแถลงการณ์ของธนาคาร
ความเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อรองรับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น การจ่ายภาษี และการออกพันธบัตรรัฐบาล และเป็นการคงสภาพคล่องในระบบธนาคารที่สมเหตุผลและเพียงพอ อ้างอิงจากแถลงการณ์
จีนจะยังคงปฏิบัติตามนโยบายการคลังอย่างระมัดระวังรอบคอบและเป็นกลาง และเป็นดีลที่ถูกต้องเหมาะสมกับความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตที่มีเสถียรภาพ และการควบคุมกฎระเบียบที่เคร่งครัด อ้างอิงจากแถลงการณ์ที่ออกมาหลังการประชุมด้านเสถียรภาพการเงินและคณะกรรมการพัฒนาภายใต้สภาประชาชนแห่งชาติเมื่อวันที่ 20 ต.ค.
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนพยายามปรับเปลี่ยนจากการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก มาเป็นการพึ่งพาการบริโภคในประเทศให้มากขึ้นเพื่อหนุนการเติบโต ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องต่อสู้เพื่อควบคุมหนี้ที่พุ่งสูงขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ โดยไม่ทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปักกิ่งมีมาตรการหลายขั้นตอนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ รวมทั้งการปรับลดเงื่อนไขการลงทุนเพื่อหนุนสภาพคล่องและบรรเทาการชะลอตัวลงของสภาพเศรษฐกิจ.