จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐฯต่ำสุดใน 14 เดือน
จีนปรับลดตัวเลขการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯในเดือนส.ค.ลงประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือราว 195,900 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปี 2560 เป็นต้นมา
โดยจีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯธนบัตรและตราสารหนี้ลดลงมาอยู่ที่ 1.165 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิม 1.171 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนก.ค. อ้างอิงจากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เป็นการปรับลดลงต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 3 และต่ำกว่าระดับ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อปีก่อน
ผู้ค้าพันธบัตรกำลังจับตามองว่าจีนมีเจตนาในการลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าที่มีอยู่กับสหรัฐฯ หรือไม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญในตลาดเชื่อว่าการลดลงครั้งนี้มีความหมาย เพราะเกิดขึ้นในเวลาที่ค่าเงินมีความผันผวนตลอดช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
“ ความจริงที่คุณกำลังเห็นว่ามีการลดจำนวนถือครองพันธบัตรลงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ” John Hill นักกลยุทธ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินที่ BMO ให้ความเห็น เขาระบุว่าการถือครองพันธบัตรของจีนตอนนี้เป็นตัวเลขต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปี 2560 ซึ่งตัวเลขในตอนนั้นอยู่ที่ 1.147 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ จีนเป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด รองลงมาคือญี่ปุ่น ซึ่งก็ลดจำนวนการถือครองพันธบัตรลงในเดือนส.ค.ด้วยเช่นกัน โดยญี่ปุ่นลดการถือครองพันธบัตรลงมาอยู่ที่ 1.030 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิม 1.036 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนก.ค.
“ คนมากมายกำลังให้ความสนใจกับจีน ซึ่งมีความสำคัญกับตลาด ผมยังลังเลใจที่จะเปรียบเทียบกับปี 2558 และ 2559 เพราะการลดลงอยู่ในระดับปานกลาง และชะลอตัวกว่าที่เราเห็นในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ” Hill ระบุ
ในเดือนก.ค. การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ธนบัตรและตราสารหนี้ลดลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือนอยู่ที่ 1.171 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิม 1.178 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนมิ.ย.
“ ตลาดพันธบัตรเติบโตขึ้น เพราะรัฐบาลออกพันธบัตรมากขึ้น ดังนั้น ผู้ซื้อต่างชาติยังคงมีส่วนสำคัญ แต่เมื่อมองโดยภาพรวม สัดส่วนของพวกเขาในตลาดพันธบัตรได้ลดลงมาหลายปีแล้ว นี่เป็นการยืนยันเรื่องนี้ ” Boris Rjavinksi นักกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนที่ Wells Fargo ระบุ
ทั้งนี้ มีรายงานที่ไม่เปิดเผยว่า รัฐบาลท้องถิ่นของจีนมีหนี้สูงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP แตะระดับอันตรายแล้ว S&P Global Ratings ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ต.ค.
นักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างการลงทุนที่มีการรายงานในโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่นและการระดมทุน ซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐบาลกลาง ส่งผลให้จำนวนหนี้อาจสูงกว่าที่เปิดเผยต่อสาธารณะหลายเท่า และอาจอยู่ประมาณ 4.34 – 5.78 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Gloria Lu,Laura Li และทีมนักวิเคราะห์เครดิตระบุในรายงาน
“ และตัวเลขนี้เหมือนเป็นภูเขาน้ำแข็งด้วยความเสี่ยงที่เรือไททานิกจะพุ่งชน ” พวกเขาเสริม โดยประเมินว่าสัดส่วนหนี้ของทุกรัฐบาลต่อ GDP อยู่ที่ 60% ในปีที่แล้ว
เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค รัฐบาลท้องถิ่นในจีนได้ลงทุนอย่างหนักในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยมักใช้โครงสร้างการเงินที่เรียกว่า “ สื่อกลางการเงินรัฐบาลท้องถิ่น” โดยไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดเกี่ยวกับขนาด.