ส่อง Hema ซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะจากอาลีบาบา
บริษัทอาลีบาบาขยายสาขาร้านค้าปลีกออฟไลน์ Hema ทั่วประเทศจีนอย่างรวดเร็ว
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบาได้ขยายสาขาหน้าร้านซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างรวดเร็วจำนวน 65 สาขา ทั่วประเทศจีนในปีก่อน และแม้ว่าซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าวจะดูแปลกแยกไปจากฐานดั้งเดิมของอาลีบาบาที่เป็นบริษัทเจ้าแห่งเทคโนโลยีก็ตาม แต่ร้านค้าดังกล่าวก็ยังคงดำเนินการพร้อมด้วยนวัตกรรมทันสมัยอยู่เสมอ
Gil Luria ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประจำบริษัทผู้ให้บริการด้านการเงิน D.S. Davidson & Co. ระบุว่า “ บริษัท อาลีบาบามียุทธศาสตร์ผนวกการค้าปลีกบนโลกออนไลน์และโลกออฟไลน์ที่มุ่งมั่นเป็นอย่างมาก หากคุณคิดว่ามีอะไรที่ทางอเมซอนอยากจะทำกับบริษัท Whole Foods ถ้าอย่างนั้นคุณต้องไปที่ Hema แล้วคุณจะได้เห็นภาพตัวอย่างก่อนเลย ”
ลูกค้าที่ใช้แอปพลิเคชัน Hema บนโทรศัพท์มือถือ จะสามารถสแกนบาร์โค้ดของสินค้าได้ทั่วทั้งร้าน เพื่อที่จะได้ทราบเกี่ยวกับ ทั้งข้อมูลของสินค้า และไอเดียเกี่ยวกับสูตรอาหาร บริษัท สามารถทราบได้ถึงสินค้าทุกชนิดที่ลูกค้าทำการชำระเงิน จึงสามารถช่วยเสนอแนะตัวเลือกให้กับลูกค้าที่จะใช้บริการในอนาคต ทำให้สามารถสั่งสินค้าอย่างเดียวกันให้ส่งถึงบ้านได้อย่างรวดเร็ว
ร้านค้าของอาลีบาบาเพิ่มสาขามากเป็นเท่าตัว เช่นเดียวกันกับศูนย์กระจายสินค้า โดยที่ศูนย์กระจายสินค้าจะมีการมอบหมายพนักงานให้บรรจุสินค้าที่ถูกสั่งผ่านช่องทางออนไลน์ลงถุง ก่อนจะส่งผ่านสายพานไปยังศูนย์จัดส่งสินค้า
ทางบริษัทระบุว่า ตามปกติแล้ว ลูกค้าที่อยู่ในรัศมีภายใน 3 กม. จะสามารถรับสินค้าที่สั่งได้ผ่านร้านค้าภายใน 30 นาที
การทำให้ลูกค้าออฟไลน์รู้สึกสะดวกสบายกับการสั่งสินค้าออนไลน์ ถือเป็นมาตรการหลักในกลยุทธ์ของบริษัท Alibaba เลยก็ว่าได้
ลูกค้าสามารถจ่ายค่าสินค้าผ่านบัญชีบนเถาเปาหรือ Alipay ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับชำระเงินของบริษัท Ant Financial ในเครือของบริษัทอาลีบาบาโดยสำหรับร้านค้า Hema ลูกค้ายังสามารถจ่ายเงินด้วยวิธีการสแกนใบหน้าได้อีกด้วย
ไม่นานมานี้ ทางบริษัทอาลีบายาได้เปิดตัวหุ่นยนต์ใหม่ในร้านอาหาร โดยด้านในร้าน ลูกค้าจะใช้โทรศัพท์มือถือในการสแกน QR โค้ดบนโต๊ะ และเริ่มสั่งอาหารในเมนู ทุกขั้นตอนนั้นต้องใช้แอปพลิเคชันของ Hema หลังจากนั้นอาหารส่วนใหญ่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้แรงมนุษย์ก็จะถูกเสิร์ฟโดยหุ่นยนต์ภายในร้านนั่นเอง
ทางบริษัทได้ขยายการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าอย่างแพร่หลายและรวดเร็ว โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มอบเงินทุนจำนวน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 19,000 ล้านบาท ให้กับบริษัท SenseTime หรือบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์สัญชาติฮ่องกงผู้ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเป็นพิเศษ ซึ่งทำงานให้กับรัฐบาลและบริษัทในจีน ในขณะเดียวกัน อาลีบาบาก็ได้ร่วมมือกับ KFC เพื่อมอบขอเสนอแนะทางเลือกให้กับลูกค้าที่จะชำระเงินโดยการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทอาลีบาบาภายในปี 2561 มีการขยับลดลงเล็กน้อย.